เปิดใจอดีต ผอ.โรงเรียน มีชีวิตเกษียณทุกข์ตรม ทนใช้หนี้แทนแม่ดาราหนุ่ม
อดีต ผอ.โรงเรียนที่อมก๋อย เปิดใจถึงเจตนาที่เปิดโปงเรื่องราวของแม่ดาราหนุ่ม หลังเบี้ยวหนี้เงินกู้เมื่อ 17 ปี ทำให้ถูกยึดบ้าน ใช้หนี้แทนนับล้านบาท เพราะเป็นหนึ่งในคนค้ำประกัน
จากกรณีที่โลกโซเชียลมีเดียให้ความสนใจ หลังจากที่มีตีแผ่เรื่องราวของแม่ดาราหนุ่มผิดชำระหนี้เงินกู้เป็นเวลานานถึง 17 ปี เป็นจำนวนเงินนับล้านบาท เป็นเหตุทำให้ผู้ที่ค้ำประกันให้ถูกยึดบ้านไป กระทั่งในเวลาต่อมา "แมงมุม-กิติพัฒน์ รัตนเศรณี" ดาราหนุ่มได้ออกมายอมรับว่าเป็นเรื่องจริง ปัจจุบันแม่ก็ถูกยึดบ้านเช่นกัน อีกทั้งติดแบล็กลิสต์ด้านธุรกรรมการเงิน และปล่อยให้กรณีนี้เป็นไปตามกฎหมาย
ล่าสุด นายวินัย อายุ 62 ปี ข้าราชการครูบำนาญ อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านผาปูน ต.อมก๋อย อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ ได้ออกมาเปิดใจ พร้อมกับโชว์ภาพถ่ายเอกสารกรมบังคับคดี แจ้งเรื่องการขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง หลังเขาและเพื่อนครูอีก 6 คน ได้ร่วมกันเซ็นค้ำประกันเงินกู้ในโครงการพัฒนาชีวิตครูกับธนาคารออมสิน เป็นจำนวน 1.6 ล้านบาท ให้กับนางสินีภัชช์ ที่ย้ายมาสอนที่โรงเรียนบ้านผาปูน เมื่อปี 2545 หรือ 17 ปีก่อน
โดยก่อนการค้ำประกันนั้น นางสินีภัชช์ ได้มาขอเข้าร่วมกลุ่มกับครูที่โรงเรียนบ้านผาปูน ซึ่งรวมกลุ่มกันอยู่แล้วเพื่อกู้เงินในโครงการพัฒนาชีวิตครู ที่สำนักงานสวัสดิการสวัสดิภาพครู ทำเอ็มโอยูกับธนาคารออมสิน เพื่อให้ครูกู้ยืมเงิน ซึ่งครูในกลุ่มได้ร่วมกันเซ็นค้ำประกันเพราะความเห็นอกเห็นใจที่นางสินีภัชช์ประสบปัญหาทางการเงิน
หลังธนาคารอนุมัติเงินกู้ไปแล้ว นางสินีภัชช์ก็ผ่อนชำระหนี้เงินกู้อยู่ระยะหนึ่ง ก่อนที่จะขอย้ายไปสอนที่โรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.นครสวรรค์ แทน ในปี 2546 หลังจากที่ นางสินีภัชช์ ย้ายไปได้ไม่นาน ตนและกลุ่มครูที่เซ็นค้ำประกันเงินกู้ทั้ง 7 คน ก็ได้รับหนังสือจากธนาคารออมสิน แจ้งว่านางสินีภัชช์ขาดผ่อนชำระเงินกู้หลายงวด ตนจึงพยายามติดต่อ แต่ไม่สามารถติดต่อได้
ต่อมาจึงได้ติดต่อสอบถามไปยังสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาของ จ.นครสวรรค์ ก็ทราบว่านางสินีภัชช์ได้ลาออกจากราชการครูไปแล้ว พร้อมรับเงินบำเหน็จไปทั้งหมด ทำให้ทางกลุ่มได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก เนื่องจากยังนางสินีภัชช์ยังมีหนี้คงค้างกับธนาคารออมสินอีกกว่า 1.2 ล้านบาท
นายวินัย กล่าวว่า หลังนางสินีภัชช์หนีหายไม่ยอมชำระหนี้เงินกู้ กลุ่มครูที่เซ็นค้ำประกันให้ต้องรับภาระหาเงินมาผ่อนชำระหนี้รวมดอกเบี้ยไปประมาณ 5 แสนบาท แต่ก็ยังมีหนี้คงค้างอีกกว่า 7 แสนบาท ซึ่งเพื่อนครูในกลุ่มก็พยายามเจรจาประนอมหนี้ จนผ่านไปเกือบ 10 ปี ตนและเพื่อนครูทั้งหมดก็ถูกธนาคารฟ้องร้อง
กระทั่งเมื่อปี 2559 ตนทราบเบาะแสว่า นางสินีภัชช์ ทำธุรกิจอยู่ที่กรุงเทพฯ และยังมีลูกชายเป็นดารานักแสดง แต่เมื่อตามตัวจนพบและขอร้องให้นางสินีภัชช์ช่วยชำระเงินกู้ที่ค้างอยู่ทั้งหมด กลับได้รับการปฏิเสธ และไม่รับผิดชอบ
ต่อมาปี 2560 ตนได้ถูกบังคับคดีนำบ้านไปขายทอดตลาด ซึ่งขณะนั้นตนเองก็กำลังจะเกษียณอายุราชการ จึงกลับไปขอร้องนางสินีภัชช์อีกครั้ง แต่นางสินีภัชช์กลับท้าทายให้ไปฟ้องศาล ตนจึงลองติดต่อไปยังลูกชายที่เป็นดาราแทน เพราะหวังว่าจะช่วยพูดคุยกับแม่ให้ แต่กลับได้แต่พูดคุยผ่านผู้จัดการส่วนตัวแทน และไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของแม่
นายวินัย กล่าวอีกว่า รู้สึกเสียใจที่เคยช่วยเหลือเพื่อนครูด้วยกันที่ชีวิตยากลำบาก แต่ท้ายที่สุดชีวิตในวัยเกษียณกลับต้องมาแบกรับภาระหนี้สินที่ไม่ได้ก่อไว้ กระทั่งบ้านถูกยึดขายทอดตลาด ซึ่งปัจจุบันผู้ค้ำประกันถูกฟ้องบังคับคดีไปแล้ว 3 ราย ยังคงเหลืออีก 3 ราย ที่เร็วๆ นี้จะถูกฟ้องบังคับคดีด้วยเช่นกัน
ขณะที่ผู้ค้ำประกันคนแรกเกษียณอายุแล้ว และเกิดความเครียด ทำให้ป่วยเป็นอัมพฤกษ์ ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวอย่างยากลำบาก ส่วนคนค้ำอีกรายเสียชีวิตไปแล้ว ทำให้ภาระหนี้สินทั้งหมดตกอยู่กับลูกๆ ส่วนครูที่เซ็นค้ำประกันที่เหลือก็เกษียณอายุกันไปหมดแล้ว จึงมีรายได้จากค่าบำนาญในการประทังชีวิต และต้องแบ่งมาชำระหนี้เงินกู้ให้นางสินีภัชช์ ทั้งที่ไม่ใช่หนี้ที่ตัวเองก่อ
นายวินัย ยังระบุว่า สาเหตุที่นำเรื่องราวโพสต์ลงโซเชียล และออกมาพูดกับสื่อ เพราะไม่มีหนทางแล้ว หากจะถูกคู่กรณีฟ้องหมิ่นประมาทก็คงต้องยอม เพราะคู่กรณีมีเจตนาไม่ชำระหนี้ และทิ้งภาระให้กับผู้ค้ำประกันแทน ตลอดระยะเวลาที่ตนรับราชการเป็นครู และย้ายมาสอนที่โรงเรียนใน อ.อมก๋อย เป็นถิ่นทุรกันดานห่างไกลความเจริญ ก็ปักหลักสอนหนังสืออยู่ที่นี่กว่า 20 ปี กระทั่งเกษียณอายุราชการ โดยคาดหวังจะใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างมีความสุข แต่กลับต้องเดือดร้อนเพราะการเซ็นค้ำประกันเงินกู้ให้คนอื่นเช่นนี้