เปิดใจอดีตครูใช้หนี้แทนแม่ดารา เครียดจัดเป็นอัมพฤกษ์ ลูกต้องแบกภาระแทน

เปิดใจอดีตครูใช้หนี้แทนแม่ดารา เครียดจัดเป็นอัมพฤกษ์ ลูกต้องแบกภาระแทน

เปิดใจอดีตครูใช้หนี้แทนแม่ดารา เครียดจัดเป็นอัมพฤกษ์ ลูกต้องแบกภาระแทน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เปิดใจอดีต ผอ.โรงเรียน หนึ่งในผู้เซ็นค้ำประกันเงินกู้ให้แม่ดาราหนุ่ม ปัจจุบันป่วยโรคอัมพฤกษ์เพราะความเครียดประเด็นนี้ ลูกชายต้องแบกรับมรดกหนี้จากพ่อ พร้อมตัดพ้อทำไมต้องใช้หนี้แทนคนไม่รู้จัก

นายสีมา อายุ 66 ปี อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านแม่หลองน้อย ต.สบโขง อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เซ็นค้ำประกันเงินกู้ให้กับ นางสินีภัชช์ แม่ของดาราหนุ่ม "แมงมุม-กิติพัฒน์ รัตนเศรณี" ที่ได้กู้ยืมเงิน 1.4 ล้านบาท ตามโครงการพัฒนาชีวิตครู ร่วมกับเพื่อนครูอีก 6 คน เมื่อปี 2545 หรือ 17 ปีก่อน ได้เปิดใจถึงกรณีดังกล่าว หลังได้รับผลกระทบและทุกข์ใจมาหลายปี และปัจจุบันป่วยด้วยโรคอัมพฤกษ์

นายสีมา เปิดเผยว่า สาเหตุที่ล้มป่วยด้วยโรคอัมพฤกษ์มานานกว่า 14 ปี ตั้งแต่เมื่อปี 2549 เพราะเกิดความเครียดจากปัญหาหนี้สิน หลังเซ็นค้ำประกันให้คนอื่นถึง 2 คน แต่ทุกรายกลับไม่รับผิดชอบและทิ้งภาระหนี้สินเอาไว้ให้แทน ทำให้ถูกฟ้องร้อง โดยรายแรกนั้นตนได้ไปเซ็นค้ำประกันให้คนรู้จักเช่าซื้อรถยนต์ แต่ปรากฎว่าเขากลับหนีไปไม่ยอมผ่อนค่างวดรถ ทำให้ตนเองถูกไฟแนนซ์ฟ้องร้อง และถูกบังคับคดีให้นำทรัพย์สิน ที่ดิน 2 แปลงใน จ.เชียงใหม่ และ จ.ลำพูน ไปขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้

>> เปิดใจอดีต ผอ.โรงเรียน มีชีวิตเกษียณทุกข์ตรม ทนใช้หนี้แทนแม่ดาราหนุ่ม

และเป็นจังหวะเดียวกับที่ธนาคารออมสิน ได้ฟ้องร้องตนกับเพื่อนครูอีก 6 คน หลังไปเซ็นค้ำประกันให้ นางสินีภัชช์ แม่ของดาราหนุ่ม ทำให้ส่งผลกระทบกับครอบครัวอย่างมาก เพราะที่ดินและบ้านก็ยังติดจำนองอยู่กับธนาคารอยู่ ตนจึงเกิดความเครียดและคิดมาก ทำให้เส้นเลือดในสมองตีบ กลายเป็นโรคอัมพฤกษ์ หลังล้มป่วยและไม่สามารถกลับไปเป็นครูได้อีก จึงต้องลาออกจากราชการมาก่อนกำหนด

หลังจากลาออกจากงานมานั้น ก็ทำห้ลูกชายกับลูกสาวที่ยังเรียนหนังสือต้องยากลำบาก เพราะตนไม่มีเงินเพียงพอจะส่งลูกเรียน ลูกชายต้องกู้เงิน กยศ.เพื่อเรียนต่อให้จบ หลังจากลูกชายได้งานทำก็ยังต้องมาแบกรับภาระหนี้สินแทนตน โดยลูกชายได้ไปยื่นขอซื้อที่ดินที่ถูกยึดไปคืนกลับมาให้ครอบครัว และทุกวันนี้ลูกยังต้องผ่อนเงินค่างวดเดือนละ 4 พันกว่าบาท พร้อมกับต้องรับภาระดูแลตนที่ป่วยเป็นอัมพฤกษ์ด้วย

นายสีมา กล่าวว่า ปัจจุบันตนยังต้องกินยารักษาอาการป่วยทุกวัน และต้องเดินทางไปหาหมอตามนัดทุก 2-3 เดือน แม้จะกลับมาเดินได้แล้ว แต่ยังต้องใช้ไม้เท้าช่วยค้ำยัน ขณะที่มือข้างขวายังใช้งานได้ไม่ปกติ ทุกวันนี้ได้เงินบำนาญเดือนละ 1 หมื่นกว่าบาท แต่เมื่อหักค่าใช้จ่ายและหนี้สินต่างๆ ก็เหลือให้ใช้จ่ายเพียงไม่กี่พันเท่านั้น ตนยังโชคดีที่มีลูกๆ ทั้ง 2 คน คอยดูแลและช่วยแบ่งเบา

ขณะที่ นายพัทธพล อายุ 28 ปี ลูกชายของนายสีมา เปิดเผยว่า ตอนช่วงที่ครอบครัวประสบวิกฤตเรื่องดังกล่าว ตนอายุ 15 ปี กำลังเรียนชั้นมัธยมศึกษาอยู่ พ่อถูกฟ้องร้องทำให้เป็นหนี้สิน บ้านและที่ดินโดนยึด ตนก็ได้รับผลกระทบไปด้วย เพราะพ่อไม่มีกำลังเพียงพอที่จะส่งให้เรียนต่อได้ จึงต้องเบนเข็นหันมาเรียนสายอาชีพแทน เพราะค่าเทอมถูกกว่า และต้องยื่นเรื่องกู้ยืมเงิน กยศ.

ในขณะนั้นตนเป็นลูกข้าราชการสามารถเบิกค่าเล่าเรียนได้ การกู้เงินจาก กยศ.จึงต้องเขียนเหตุผลในการขอกู้ โดยระบุว่า บิดาเป็นหนี้จากการค้ำประกันจนถูกยึดทรัพย์ขายทอดตลาด และล้มป่วยเป็นอัมพฤกษ์ ทำให้ไม่มีเงินเพียงพอจะส่งเสียให้เล่าเรียน กยศ. จึงอนุมัติเงินกู้ให้

แต่หลังเรียนจบ ตนก็ได้รับภาระหนี้สินต่อจากพ่อที่ไปเซ็นค้ำประกันเช่าซื้อรถ โดยไปยื่นซื้อที่ดินที่ถูกยืดไปขายทอดตลาดคืนจากธนาคาร เพื่อให้ครอบครัวได้มีที่อยู่อาศัย ทุกวันนี้นอกจากภาระในการผ่อนค่าที่ดินให้ธนาคารแล้ว ยังมีค่าผ่อนเงินกู้ กยศ. และต้องดูแลพ่อที่ป่วยเป็นอัมพฤกษ์ต่อไป

ส่วนหนี้สินจากการที่พ่อไปค้ำประกันให้กับแม่ดาราหนุ่ม ซึ่งผู้ค้ำทุกรายถูกฟ้องร้องและถูกบังคับคดีให้ติดตามยึดทรัพย์ไปขายทอดตลาดนั้น นายพัทธพล ระบุว่า หนี้ก้อนนี้เป็นหนี้สินที่ครอบครัวไม่ได้ก่อขึ้น แต่ต้องมารับผิดชอบแทน ตนก็ไม่คาดคิดว่าเมื่อโตมาแล้วจะต้องมาใช้หนี้แทนแม่คนอื่นที่ไม่รู้จักกันเลย จึงอยากวิงวอนให้ลูกหนี้รายนี้ออกมาแสดงความรับผิดชอบด้วย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook