พีอาร์สาวสวยวัย 18 นั่งรถไปกับเพื่อนชาย ถูกตำรวจใช้อาวุธสงครามยิงจนขาพิการ

พีอาร์สาวสวยวัย 18 นั่งรถไปกับเพื่อนชาย ถูกตำรวจใช้อาวุธสงครามยิงจนขาพิการ

พีอาร์สาวสวยวัย 18 นั่งรถไปกับเพื่อนชาย ถูกตำรวจใช้อาวุธสงครามยิงจนขาพิการ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

(3 ต.ค.62) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา อ.เมือง จ.กาญจนบุรี นางฉัตรสุวรรณ พร้อมด้วย นายชัยเชษฐ อายุ 25 ปี แม่และพี่ชายของ น.ส.ชนากานต์ อายุ 18 ปี ได้ออกมาเรียกร้องของความเป็นธรรม โดยกล่าวว่า น.ส.ชนากานต์ มีอาชีพเป็นพีอาร์ในสถานบันเทิง โดยได้รู้จักกับชายหนุ่มคนหนึ่งได้ 3 สัปดาห์ และมารับไปกินข้าวหลังกินข้าวเสร็จชายหนุ่มคนดังกล่าวขอไปแวะบ้านเพื่อนในพื้นที่หมู่ที่ 7 ต.ลาดหญ้า อำเภอเมืองกาญจนบุรี

แต่เมื่อไปถึงกลับถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจขับรถปิดทางเข้า และใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 ยิงเข้าใส่รถทันทีโดยไม่ได้มีการแจ้งหรือสั่งให้หยุดล่วงหน้า เป็นเหตุให้ น.ส.ชนากานต์ ถูกยิงเข้าที่ขาซ้ายได้รับบาดเจ็บสาหัส กระดูกขาแตก เส้นเอ็นขาด และเส้นเลือดใหญ่ขาด จนปัจจุบัน น.ส.ชนากานต์ ต้องกลายเป็นคนพิการขาซ้าย โดยยังคงรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา จนถึงปัจจุบัน

นอกจากนี้ นางฉัตรสุวรรณ กล่าวต่อว่า ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ เจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่เคยรับผิดชอบอาการบาดเจ็บของลูกสาวที่เกิดขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาเคยมีการเจรจากันที่สถานีตำรวจภูธรลาดหญ้า พร้อมด้วยทหาร และพนักงานสอบสวน ที่ติดต่อเข้ามาขอเจรจาไปแล้ว 1 ครั้ง ซึ่งการเจรจาในครั้งนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ลงมือก่อเหตุ ซึ่งมียศสิบตำรวจโท ยอมรับว่าเป็นผู้ยิง น.ส.ชนากานต์ จริง และขอให้ครอบครัวยอมความไม่เอาเรื่อง เพื่อแลกกับการรับผิดชอบด้วยการชดใช้ค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด ซึ่งครอบครัวได้เรียกค่าเสียหายในการดูแลรักษารวม 3 ล้านบาท  ที่ผ่านมามีเพียงเงินที่เจ้าหน้าที่มอบให้เบื้องต้นเพียง 30,000 บาท จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่เคยมีหน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่รายใด เข้ามาติดต่อขอชดใช้ค่าเสียหาย รวมไปถึงถูกบ่ายเบี่ยงมาโดยตลอด

ปัจจุบัน นางฉัตรสุวรรณ และ นายชัยเชษฐ แม่และพี่ชาย ต้องลาออกจากงานประจำ เพื่อมาดูแล น.ส.ชนากานต์ ที่ยังคงรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา  ซึ่งแพทย์ลงความเห็นว่าอาจใช้เวลาถึง 2 ปีในการรักษา เพื่อให้สามารถกลับมาเดินได้อีกครั้ง แต่ก็อาจเดินได้ไม่เหมือนปกติ

จากนั้นเวลา 14.00 น. นายไชยา อายุ 46 ปี พร้อมด้วย นางฉัตรสุวรรณ พ่อและแม่ของ น.ส.ชนากานต์ ได้เดินทางไปที่ สภ.เมืองกาญจนบุรี ขอเข้าพบ พ.ต.อ.ธีระพงษ์ ฤทธิ์จรูญ ผกก.สภ.เมืองกาญจนบุรี เพื่อร้องขอความเป็นธรรม พร้อมกับขอให้ดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ก่อเหตุให้ถึงที่สุด โดยกล่าวว่า หลังเกิดเหตุทาง สภ.ลาดหญ้า ได้รับเรื่องไว้สอบสวนแล้ว แต่จากการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานยืนยันได้ว่า เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นในท้องที่ สภ.เมืองกาญจนบุรี ซึ่งได้รับแจ้งว่ามีการปฏิบัติหน้าที่ตรงนี้ ดังนั้นทางสถานีตำรวจภูธรทั้งสองแห่งก็จะนำพยานหลักฐานที่ได้มารวบรวม และหากมีพยานหลักฐานอย่างไรก็ดำเนินการไปตามนั้น

ในส่วนของเจ้าพนักงานที่อ้างว่า ปฏิบัติหน้าที่ และยิง น.ส.ชนากานต์ จนได้รับบาดเจ็บนั้น ทางเราไม่มีอำนาจในการสอบสวน โดยได้ส่งเรื่องไปยัง ป.ป.ช.ให้เป็นผู้พิจารณาในความผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ ส่วนพยานหลักฐานที่เรารวบรวมส่งให้ ป.ป.ช.ขอไม่ลงลึกในรายละเอียดในส่วนนี้ เบื้องต้นอาวุธที่ใช้เป็นปืนเอ็ม 16 ของทางราชการ

สำหรับการปฏิบัติหน้าที่ในท้องที่ สภ.เมืองกาญจนบุรี ตนไม่มีนโยบายให้ใช้อาวุธสงครามในการปฏิบัติหน้าที่ปราบปรามยาเสพติด แต่ในส่วนของหน่วยอื่น ตนไม่ขอก้าวล่วง เนื่องจากตนไม่ใช่ผู้บังคับบัญชา ในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจนายดังกล่าวมียศ สิบตำรวจโท สังกัด ตชด. ส่วนการปฏิบัติหน้าที่อย่างไรนั้น ตนไม่ขอลงในรายละเอียด แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องที่ร่วมปฏิบัติการในครั้งนี้ โดยเป็นเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานนอกทั้งหมด
ทั้งนี้ ยังไม่สามารถติดตามจับกุมตัวเจ้าของรถยนต์คันที่ น.ส.ชนากานต์ นั่งมาด้วยได้ และไม่ขอพูดถึงในรายละเอียดในการตรวจค้นรถคันดังกล่าว เนื่องจากอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน และเกรงว่าจะกระทบกับคดีได้

ส่วนผู้ที่หลบหนีไปนั้น ทางเจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจสอบประวัติว่ามีความเกี่ยวพันกับยาเสพติดหรือไม่ ส่วนผลเป็นอย่างไรนั้น ตนไม่ขอนำมาเปิดเผยเช่นกัน โดยเราใช้หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์เป็นหลัก ส่วนของค่าชดเชยเยียวยาผู้เสียหายสามารถยื่นเรื่องได้ที่ยุติธรรมจังหวัดกาญจนบุรี เพื่อขอรับการเยียวยา    

อย่างไรก็ตามในเรื่องนี้ทาง ผบช.ภ.7 ได้ให้ความสำคัญ และกำชับให้ดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา และว่ากันไปตามพยานหลักฐานที่ปรากฏ ซึ่งผลการตรวจสอบจะออกมาอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของ ป.ป.ช. เราไม่อาจไปก้าวล่วงได้

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook