ร้องสื่อขอความเป็นธรรม ทำบัตรประชาชนหาย กลายเป็นผู้ต้องหาติดคุกคดีค้ายา

ร้องสื่อขอความเป็นธรรม ทำบัตรประชาชนหาย กลายเป็นผู้ต้องหาติดคุกคดีค้ายา

ร้องสื่อขอความเป็นธรรม ทำบัตรประชาชนหาย กลายเป็นผู้ต้องหาติดคุกคดีค้ายา
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

อดีตช่างโยธาฯ อบต.กลายเป็นผู้ต้องหาค้ายาเสพติด หลังทำบัตรประชาหาย พบมีคนนำเอาไปเปิดซิมโทรศัพท์ติดต่อธุรกิจมือ กระทั่งถูกตำรวจตามจับ-ติดคุกทั้งที่ไม่ได้ทำผิด

อีจัน ได้รับแจ้งร้องทุกข์จากลูกเพจรายหนึ่ง เพื่อขอความเป็นธรรม เนื่องจากสมาชิกครอบครัวตกเป็นผู้ต้องหาในคดีพยายามจำหน่ายยาเสพติด ขณะนี้ถูกคุมขังอยู่ที่ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ เนื่องจากะทำบัตรประชาชนหาย ต่อมาพบว่ามีคนนำบัตรประชาชนไปเปิดซื้อซิมโทรศัพท์ และมาทราบภายหลังว่าเป็นกลุ่มรับข้างขนและจำหน่ายยาบ้า

นายภานุวัฒน์ ไร่วิบูลย์ หรือ ทนายโต้ง ทนายของผู้เสียหาย ได้เล่าถึงเหตุการณ์ก่อนที่ลูกความของเขาจะตกเป็นผู้ต้องหาว่า นายสุวัตร อดีตดำรงตำแหน่งนายช่างโยธาชำนาญงาน สังกัดองค์การบริหารส่วนตำบลนาทราย อ.เมืองนครพนม จ.นครพนม ได้รับราชการมาเป็นเวลา 14 ปี 9 เดือน ได้รับพระกรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นจตุรถาภรณ์ช้างเผือก ซึ่งไม่เคยมีประวัติเกี่ยวข้องกับยาเสพติดหรือมีประวัติด่างพร้อย

กระทั่งวันที่ 11 มกราคม 2562 ขณะที่ นายสุวัตร ได้กลับมาจากทานอาหารกับเพื่อนร่วมงาน เมื่อมาถึงที่ทำงานก็มีเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจาก สภ.เมืองนครพนม ได้เข้าทำการขอจับกุมตามหมายจับของศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ และมีเจ้าพนักงานตำรวจของ สภ.สมเด็จ จังหวัดกาฬสินธุ์ มารับตัวไปทำการสอบสวน ซึ่งทางพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาว่า พยายามจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) มีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์เกินกว่ายี่สิบกรัมขึ้นไป จำนวน 1,992 เม็ด

เมื่อสอบถามกับพนักงานสอบสวนจึงทราบว่า ตัวเองตกเป็นผู้ต้องสงสัย เพราะมีการนำบัตรประชาชนไปเปิดใช้ซื้อซิมโทรศัพท์แบบเติมเงินในพื้นที่ อ.เรณูนคร จ.นครพนม ซึ่ง นายสุวัตร ก็ได้ให้การปฏิเสธ และยืนยันคำให้การว่า ในวันนั้นที่พบว่าซื้อซิมโทรศัพ์นั้น ยังปฏิบัติงานอยู่ที่สำนักงานตลอดเวลา และมีหลักฐานการสแกนลงเวลาการปฏิบัติงาน
พร้อมทั้งให้การว่าเคยทำบัตรประชาชนหล่นหาย แต่ยังไม่ได้ไปแจ้งความ ต่อมาในเดือนธันวาคม 2560 ได้มีผู้หวังดีส่งบัตรประชาชนคืนมาที่บ้าน แต่ก็ไม่คิดว่าจะมีการเอาไปทำการใดๆ คิดแค่ว่ามีคนพบบัตรแล้วส่งกลับคืนมาให้แค่นั้น ตนก็ใช้ชีวิตทำงานตามปกติเรื่อยมา จนมาถูกตำรวจชุดจับกุมตัวในที่สุด

ต่อมาวันที่ 14 มกราคม 2562 พนักงานสอบสวนได้ทำการฝากขังนายสุวัตรที่เรือนจำจังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งในระหว่างที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ ทางญาติพี่น้องและภรรยาได้ทำเรื่องขอประกันตัวที่ศาลชั้นต้น 3 ครั้ง ศาลอุทธรณ์ 3 ครั้ง แต่ก็ไม่เคยได้รับการประกันตัวเลยสักครั้ง เนื่องจากนายสุวัตรรับราชการ จึงต้องถูกเพิ่มโทษทำให้มีอัตราโทษสูง

ในวันที่ 5 เมษายน 2562 นายสุวัตรได้รับการปล่อยตัว เนื่องจากครบกำหนดการผัดฟ้องฝากขังครั้งที่ 7 เป็นระยะเวลา 84 วัน ที่อยู่ในเรือนจำ ศาลจึงมีหมายให้ปล่อยตัว เนื่องจากพนักงานอัยการส่งฟ้องไม่ทัน

หลังจากที่ได้รับการปล่อยตัว นายสุวัตรและครอบครัว รวมทั้งเพื่อน รุ่นพี่ทำทำงาน ก็ได้พยายามหาหลักฐานต่างๆ เพื่อนำมาใช้ในการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ทั้งเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อขอหลักฐานกับเครือข่ายโทรศัพท์ในการเปิดใช้โทรศัพท์ เข้ารายงานตัวต่อผู้บังคับบัญชา เข้าแจ้งความต่อสถานีตำรวจอำเภอเมืองนครพนม เข้าไปสอบถามกับร้านตัวแทนจำหน่ายที่มีคนไปซื้อเบอร์โทรศัพท์ เข้าร้องเรียนต่อศูนย์ดำรงธรรม และยุติธรรมจังหวัดนครพนม

จนในวันที่ 19 มิถุนายน 2562 พนักงานสอบสวนจึงได้นัดให้เข้ารายงานตัวต่อพนักงานอัยการจังหวัดกาฬสินธุ์ ก็ได้เข้ารายงานตัวตามคำสั่ง และทางพนักงานอัยการจังหวัดกาฬสินธุ์ได้กำหนดนัดฟ้องครั้งแรกในวันที่ 4 กรกฎาคม 2562 ก็ได้เข้ามารายงานตัวตามนัด

แต่พนักงานอัยการจังหวัดกาฬสินธุ์ได้เลื่อนนัดเป็นวันที่ 6 สิงหาคม 2562 และพนักงานอัยการจังหวัดกาฬสินธุ์ได้ส่งสำนวนกลับไปยังพนักงานสอบสวน สภ.สมเด็จ เพื่อให้เรียก นายสุวัตร เข้ามาให้ปากคำและนำหลักฐานมาเพิ่มเติม และเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2562 พนักงานสอบสวน สภ.สมเด็จ ก็ได้แจ้งเข้าให้ปากคำเพิ่มเติม ซึ่งนายสุวัตรได้เข้าไปพบตามนัด

และในวันที่ยื่นฟ้องคือวันที่ 6 สิงหาคม 2562 นายสุวัตร ก็ได้เข้ามารายงายตัวอีกเช่นเดิม พนักงานอัยการก็ได้ยื่นสำนวนส่งฟ้อง โดยไม่คัดค้านการขอประกันตัว แต่ทางศาลให้ทำการควบคุมตัวไว้ ทางญาติ พี่น้อง และภรรยา ก็ได้ทำเรื่องขอประกันตัว ขอปล่อยตัวชั่วคราวที่ศาลชั้นต้น 3 ครั้ง และกับศาลอุทธรณ์ 2 ครั้ง ศาลก็ไม่ให้อนุญาตประกันตัวอีกเช่นเคย

ทั้งนี้ ทนายโต้งเห็นว่า นายสุวัตร แค่อยากขอใช้สิทธิขั้นพื้นฐานหรือสิทธิเริ่มแรกในการดำเนินกระบวนการพิจารณา คือสิทธิการได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว สิทธิในการต้องไปดูแลบุพการี ซึ่งมีอายุมาก สิทธิในการดูแลครอบครัวคือ ภรรยาและลูก ซึ่งไม่มีรายได้ประจำ และตามรายละเอียดปรากฏตามบันทึกรับทราบวันนัด เพื่อทราบคำสั่งของสำนักงานอัยการจังหวัดกาฬสินธุ์

ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน 2562 จนกระทั่งถึงวันที่ส่งฟ้อง เป็นระยะเวลาทั้งสิ้น 123 วัน นายสุวัตร ด้มารายงานตัวตามกำหนดนัดทุกครั้ง ไม่มีพฤติกรรมที่จะหลบหนีแต่อย่างใดทั้งสิ้น เพราะเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม และพร้อมที่จะนำพยานหลักฐานมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองในชั้นพิจารณาคดีของศาล และมีเจตนาที่จะกลับเข้ารับราชการในตำแหน่งนายช่างโยธาชำนาญงาน องค์การบริหารส่วนตำบลนาทราย อ.เมือง จ.นครพนม เช่นเดิม

นอกจากนี้ทนายโต้งยังได้บอกรายละเอียดของการใช้โทรศัพท์ของเบอร์ที่มีคนร้ายนำบัตรประชาชนของนายสุวัตรไปซื้อซิมโทรศัพท์ พบว่า พื้นที่ของการใช้งานอยู่ในโซนจังหวัดใกล้เคียงนครพนม คือ กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด อำนาจเจริญ มหาสารคาม ขอนแก่น ยโสธร เป็นต้น โดยไม่มีการใช้โทรศัพท์ในพื้นที่จังหวัดนครพนมเลย ซึ่งนายสุวัตรอาศัยอยู่ที่นครพนม ไม่เคยไปจังหวัดเหล่านี้ นอกจากไปทำงานช่างกับทีมในบางจังหวัดบ้าง แต่ไม่บ่อยครั้งนัก และใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ที่นครพนม

ทนายโต้ง ยังบอกอีกว่า ขณะนี้ถ้านับตั้งแต่วันฟ้อง 6 สิงหาคม นายสุวัตรอยู่ในเรือนจำมากว่า 2 เดือนแล้ว ซึ่งทางครอบครัวเป็นห่วงเรื่องสุขภาพและความเครียดมาก เนื่องจากถูกคุมขังอยู่ต่างบ้าน คือที่ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งครอบครัวอยู่ที่นครพนม การที่จะมาเยี่ยมแต่ละครั้งก็ต้องเหมารถมากัน รายได้ที่นายสุวัตรหาเป็นหลักก็ขาดหายไป

ขณะเดียวกัน ได้เดินทางไปสอบถามถึงคดีดังกล่าวกับ พ.ต.อ.ทวีศักดิ์ รักษาศิลป์ ผกก.สภ.สมเด็จ ชี้แจงถึงการขออนุมัติหมายจับนายสุวัตรว่า เนื่องจาก สภ.สมเด็จ ทำงานประสานข้อมูลกันกับทางจังหวัดจนทราบว่ามักมีกลุ่มคนร้ายลอบขนยาเสพติดและจำหน่ายยาเสพติดในพื้นที่ของ อ.สมเด็จ จึงได้ให้สายลับลองติดต่อหาคนที่เคยติดคุกด้วยกัน เพื่อล่อซื้อยาเสพติด ปรากฏว่าคนดังกล่าวเสียชีวิตไปแล้ว แต่มีน้องสาวเป็นผู้ทำต่อ จึงให้สายลับลองถามว่า จะซื้อยาเสพติดประมาณ 2,000 เม็ด ซึ่งทางน้องสาวของพ่อค้ายาก็บอกว่ามี เดี๋ยวให้คนติดต่อกลับไป

จากนั้นก็มีเบอร์แปลกโทรกลับเข้ามาที่เบอร์ของสายลับ ปลายสายเป็นเสียงผู้ชาย พร้อมนัดแนะสถานที่ที่จะมีการนำยาเสพติดไปส่งให้ และแลกเปลี่ยนกับให้สายลับนำเงินไปวางไว้ยังจุดที่กำหนดให้ จนถึงวันที่นัดส่งของ เจ้าหน้าที่ก็มีทีมไปดักซุ่ม พบมีคนนำถุงดำใส่ของมาวางไว้ที่หลักกิโลเมตร 677 ถนนสมเด็จ – ห้วยผึ้ง เจ้าหน้าที่จึงเข้าทำการตรวจสอบพบเป็นยาเสพติด

แต่กลุ่มคนร้ายไหวตัวทัน จึงหลบหนีไปได้ ทำให้ครั้งนั้นจับของกลางได้แต่ไม่ได้ตัวคน และเมื่อมาตรวจสอบจากเบอร์โทรศัพท์ที่โทรเข้ามานัดส่งของกับสายลับก็พบว่าชื่อที่ใช้เปิดเบอร์เป็นชื่อของนายสุวัตร

เจ้าหน้าที่จึงรวบรวมพยานหลักฐานยื่นขออนุมัติหมายจับต่อศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งศาลได้อนุมัติหมายจับในข้อหา พยายามจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) จึงมีการสืบหาตัวจนทราบว่านายสุวัตรทำงานเป็นนายช่างโยธาอยู่ที่นครพนม ชุดจับกุมจึงได้ไปเชิญตัวและขอจับกุม

พ.ต.อ.ทวีศักดิ์ รักษาศิลป์ ผกก.สภ.สมเด็จ ยืนยันว่า ไม่ได้มีการกลั่นแกล้งแต่อย่างใด เจ้าหน้าที่ทำงานไปตามกระบวนการทางกฎหมาย เมื่อมีมูลชี้ไปที่บุคคลใดก็ต้องดำเนินกับบุคคลนั้นตามกระบวนการ หากว่านายุวัตรเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องดังกล่าว ก็ต้องหาพยานหลักฐานมาชี้แจงต่อศาลให้น่าเชื่อให้ได้ต่อไป

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook