น่าทึ่ง! เด็กไทยคนเก่ง จบเพียงชั้น ป.6 แต่สอบติดวิศวะ ทั้งที่ยังเป็น “เด็กหญิง”

น่าทึ่ง! เด็กไทยคนเก่ง จบเพียงชั้น ป.6 แต่สอบติดวิศวะ ทั้งที่ยังเป็น “เด็กหญิง”

น่าทึ่ง! เด็กไทยคนเก่ง จบเพียงชั้น ป.6 แต่สอบติดวิศวะ ทั้งที่ยังเป็น “เด็กหญิง”
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เด็กไทยสุดเจ๋ง! จบเพียง ป.6 อายุ 13 ปี แต่สอบติดวิศวะ พระจอมเกล้าฯ พูดได้ 5 ภาษา ไทย อังกฤษ จีน เยอรมัน และฝรั่งเศส แถมสอบ TOEFL ได้คะแนน 111/120 - แม่เผยวิธีเลี้ยงลูกเป็นอัจฉริยะ ไม่เกี่ยว DNA เลิศ

เด็กหญิง ภัสสรา จันทร์โชติเสถียร หรือน้องอิงค์ สาวน้อยวัย 15 ที่ความสามารถสุดน่าทึ่ง โดยน้องเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 แล้วสามารถสอบเข้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ได้ตอนอายุ 13 ปี และตอนนี้ย้ายมาศึกษาที่ สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปีที่สอง

ทั้งนี้นอกจากเรื่องการเรียนที่เรียนดีแล้ว ยังเปี่ยมไปด้วยความสามารถรอบตัว เพราะน้องอิงค์ แข่งขันซอฟแวร์คอมนานาชาติ ได้รางวัลชนะเลิศอันดับหนึ่ง รวมไปถึงยังสามารถพูดได้ถึง 5 ภาษา ทั้ง ไทย อังกฤษ จีน เยอรมัน และฝรั่งเศส และสอบ TOEFL ได้คะแนน 111/120

สำหรับการศึกษาระดับมัธยม น้องอิงค์ เรียนโรงเรียนนานาชาติร่วมฤดี โดยผ่านการสอบ Standardized Test ที่เรียกกันว่า IGCSE (International General Certificate of Secondary Education) 5 วิชา และผ่านการสอบ GCE-A Level (General Certificate of Education Advanced) 3 วิชา ตามเกณฑ์มาตรฐานกำหนด ภายในเวลา 1 ปี จึงทำให้เธอสามารถข้ามจากระดับเกรด 6 (ประถม 6) แล้วเข้ามหาวิทยาลัยได้

ซึ่งล่าสุดนั้นเธอสามารถคว้ารางวัลชนะเลิศ สาขา Design and Engineering Professional จาก ICDL Asia Digital Challenge การแข่งขันด้านทักษะดิจิทัล ที่เปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความสามารถจาก 11 ประเทศทั่วโลก โดยจัดขึ้นที่มาเลเซีย จากโจทย์การแข่งขันในระดับนานาชาติในหัวข้อออกแบบรถในอนาคตอีกด้วย

เมื่อสอบถามคุณแม่ถึงวิธีการวางแผนเลี้ยงดูน้องอิงค์ให้มีความสามารถแบบก้าวกระโดดมากกว่าเพื่อนๆ อายุเท่ากัน ซึ่งคุณแม่ได้อธิบายให้ฟังว่า “จะต้องเสริมทักษะที่เพิ่มขึ้นไปอีกขั้นในแต่ละช่วงวัย ตอนเด็กๆ ประมาณเขา ป.2 เรียนนานาชาติ ช่วงนั้นครูก็เรียกคุณแม่ไปคุยว่าน้องอิงค์ไม่ค่อยตั้งใจเรียน ชอบชวนเพื่อนคุยในห้อง จึงเป็นจุดที่ทำให้หันมามองลูกเราว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะครูบอกว่าชอบชวนเพื่อนคุย ไม่ตั้งใจเรียนในห้องกัน แล้วเขาก็บอกว่าเหมือนในบทเรียนเขารู้หมดแล้ว เขารู้สึกไม่สนุกที่จะฟัง”

“เราก็เลยคิดว่าควรทำยังไง ก็เลยเอาวิชาการที่มากกว่าที่เขาเรียนอยู่ในระบบเข้ามาเสริมเขาตลอด พอมาเสริมเขาก็ได้แบบก้าวกระโดด เขาเรียนรู้หมดทุกอย่าง เวลาอยู่ชั้นประถมเขาได้เรียนของระดับมัธยมต้น เราก็ดูว่าก่อนที่เราจะผลักลูกเราออกไปในระดับอุดมศึกษา น้องเขามีความพร้อมหรือพื้นฐานพอไหม ไม่ใช่ว่าคุณแม่อยากจะผลักๆ ไป” คุณแม่น้องอิงค์ เล่าเพิ่มเติม

นอกจากนี้ คุณแม่ยังเผยอีกว่า การเลี้ยงลูกจะต้องวางแผนอย่างดีมากๆ หากใครอยากได้ลูกที่แบบนี้ ไม่จำเป็นว่าต้องมี DNA นี้อยู่ในสายเลือด “ถ้าคุณมาบอกว่าแม่เป็นดอกเตอร์ ลูกก็เรียนได้ นั่นไม่ใช่ แต่มันอยู่ที่เราเลี้ยงเขายังไง ถ้าอยากเลี้ยงได้แบบนี้ 1-6 ปีแรก จะเป็นช่วงสำคัญของการดูแล สำคัญมากๆ ถ้าเราอยากได้ลูกเราแบบไหนใน 6 ปีแรก เราเลี้ยงแบบนั้น แล้วต่อจากนั้นเราไม่ต้องทำอะไรเลยเขาดูแลตัวเขาเอง”

“หลังจากการแข่งขันชนะเลิศเสร็จ น้องอิงค์ได้บอกคุณแม่ว่าไม่อยากแข่งขันแล้ว เพราะคิดว่าตัวเองมาในระดับที่สูงแล้ว แต่อยากจะทำในสิ่งที่อยากจะทำคือการได้มีเวลาสำหรับตัวเอง จึงอยากจะมีเวลาอ่านงานของคนอื่น เพราะเหมือนกับตอนนี้ตัวเองไม่ทันสมัย ตามไม่ทัน เพราะเทคโนโลยีเปลี่ยนไปเร็วมาก เขาอยากจะมานั่งอ่านงานวิจัยของระดับโลกว่าเขาคิดอะไรกันอยู่ งานวิจัยไปถึงตรงไหนแล้ว” คุณแม่กล่าวในท้ายสุด

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook