ลูกสาวร้านเพชร หอบโฉนดร้องสื่อ "อดีตแฟนแม่" ส่งชายฉกรรจ์บุกยึดบ้าน-ที่ดิน 40 ล้าน

ลูกสาวร้านเพชร หอบโฉนดร้องสื่อ "อดีตแฟนแม่" ส่งชายฉกรรจ์บุกยึดบ้าน-ที่ดิน 40 ล้าน

ลูกสาวร้านเพชร หอบโฉนดร้องสื่อ "อดีตแฟนแม่" ส่งชายฉกรรจ์บุกยึดบ้าน-ที่ดิน 40 ล้าน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

วันนี้ (10 ต.ค. 62) น.ส.พิมพ์นรี หรือ บี อายุ 33 ปี ทายาทเจ้าของร้านเพชร เข้าร้องเรียนต่อสื่อมวลชนทั้งน้ำตาว่า ตนเองมีชื่อเป็นเจ้าของบ้านหลังหนึ่ง หมู่ที่ 2 ต.บางกร่าง อ.เมือง จ.นนทบุรี ทั้งในทะเบียนบ้านและโฉนดที่ดินถูกต้องตามกฎหมาย แต่เมื่อวันที่ 4 ต.ค. 62 ที่ผ่านมา กลับมีชายฉกรรจ์คล้ายทหารหรือตำรวจจำนวนหลายสิบนาย เข้ามาที่บ้านหลังดังกล่าว ซึ่งขณะนั้นตนเองไม่ได้อยู่ในบ้าน กลุ่มชายดังกล่าวจึงให้แม่บ้านที่ดูแลอยู่เปิดประตูบ้าน ก่อนจะเข้าไปทำการเปลี่ยนลูกกุญแจบ้านทั้งหมด ทำให้ตนเองและน้องสาวคือ น.ส.พิมพ์ลริล ไม่สามารถเข้าไปในบ้านได้ ตนเองจึงเดินทางไปแจ้งความร้องทุกข์ที่ สภ.บางศรีเมือง กับ พ.ต.ต.อานนท์ แพรงาม สว.สอบสวน สภ.บางศรีเมือง และลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน

น้องบี เปิดเผยเรื่องราวทั้งหมดให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า ครอบครัวนั้นประกอบกิจการอัญมณีอยู่ที่บ้านหม้อ มาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย กว่า 50 ปี จนตกทอดมาถึงรุ่นคุณแม่ก็คือ นางสุคนธกาญจน์ ซึ่งคุณแม่ได้แต่งงานอยู่กินจดทะเบียนสมรสกับนายธนัช คุณพ่อของตน จนมีบุตรสาวด้วยกัน 2 คน คือตนเองและน้องสาว ชีวิตครอบครัวอยู่กันอย่างมีความสุข ประกอบธุรกิจค้าขายอัญมณีเรื่อยมา

อย่าไรก็ตาม น้องบีเล่าทั้งน้ำตาว่า ราวๆ ปี 2541 นายประวิทย์ ซึ่งเป็นพี่ชายของคุณแม่ ได้พาเพื่อนนายทหารเรือซึ่งปัจจุบันเกษียณอายุราชการแล้วมาที่บ้านให้ทุกคนได้รู้จัก จนกระทั่งมีความสนิทสนมกับทุกคนโดยเฉพาะคุณแม่กับคุณพ่อก็ให้การต้อนรับเป็นอย่างดีเมื่อนายทหารคนดังกล่าวมาเที่ยวทุกครั้ง ต่อมาคุณพ่อคือนายธนัชได้หย่าร้างกับคุณแม่เพราะสาเหตุบางประการ ช่วงจังหวะเวลาดังกล่าวทำให้นายทหารคนดังได้เข้ามาใกล้ชิดสนิทสนมกับคุณแม่ของตนเอง มีการไปไหนมาไหนด้วยกัน

จนเวลาต่อมาในปี 2549 คุณแม่ได้เดินทางไปดูและถูกใจที่ดินกว่า 4 ไร่ใน ซ.วัดบางกร่าง ต.บางกร่าง อ.เมือง จ.นนทบุรี ซึ่งปัจจุบันคือบ้านหลังดังกล่าว จนตกลงซื้อในราคากว่า 17,500,000 บาท พร้อมทั้งถมที่ปลูกบ้านตกแต่งไปรวมกว่า 40,000,000 บาท ใช้ชื่อบ้านและโฉนดที่ดินเป็นชื่อของคุณแม่แต่เพียงผู้เดียว โดยขณะนั้นคุณแม่ซึ่งคบหาดูใจกับนายทหารคนดังก็พาช่างตกแต่งและผู้รับเหมา เข้ามาดูแล ซึ่งคุณแม่เองมีการโอนเงินการซื้อและตกแต่งบ้านหลังนี้ทั้งหมด ผ่านบัญชีคุณยายซึ่งเป็นมารดาของคุณแม่ โดยการโอนแต่ละครั้งจะโอนให้คุณยายเป็นงวดๆ ครั้งละหลายล้านบาท เนื่องจากคุณแม่ไม่อยากให้ตนเองและน้องสาวคิดว่า นำเงินส่วนของร้านอัญมณีที่มีตนเองและน้องสาวเข้ามามีส่วนร่วมบริหารไปใช้จ่าย เพราะขณะนั้นคุณแม่คบหาสนิทสนมกับนายทหารคนดัง ทั้งๆ ที่คุณแม่ก็รู้ว่านายทหารคนดังกล่าวนั้นมีครอบครัวแล้ว

น.ส.พิมพ์นรี ยืนร้องเรียนอยู่หน้าบ้าน

ต่อมาตนเองพร้อมน้องสาวและคุณแม่ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังที่ซื้อ พร้อมทั้งทหารเรือคนดังกล่าวก็มีการไปมาหาสู่กับคุณแม่ และพักอยู่บ้านหลังดังกล่าวเป็นครั้งคราว จนถึงราวปี 2559 คุณแม่เริ่มมีอาการป่วยจึงได้ทำนิติกรรมและโอนที่ดินพร้อมบ้านหลังนี้ให้เป็นชื่อของตนเอง ก่อนเสียชีวิตในเวลาต่อมา ตนและน้องสาวก็พักอาศัยที่บ้านหลังกล่าวพร้อมสาวใช้ โดยมีนายธนัชคุณพ่อพักอาศัยอยู่ด้วยเช่นกัน

จนกระทั่งเรื่องราวมาเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 4 ต.ค.ที่ผ่านมา กลุ่มชายฉกรรจ์กว่า 10 นาย ได้บุกเข้ามาในบ้านพร้อมอ้างว่าได้รับคำสั่งจากทหารเรือให้เข้ามาดูแลและเฝ้าบ้าน ในฐานะเจ้าครองผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วม ซึ่งตนเองและครอบครัวเกรงว่าจะได้รับอันตรายจากกลุ่มชายดังกล่าว จึงไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน พร้อมทั้งแสดงโฉนดและชื่อทะเบียนบ้านที่มีชื่อของตนเองเป็นเจ้าของ พร้อมวอนขอให้กลุ่มชายดังกล่าวออกจากบ้าน หลังจากนี้คงต้องปรึกษาข้อกฎหมายเพื่อดำเนินการต่อไปกับนายทหารคนดังกล่าว

ทั้งนี้ น้องบี กล่าวด้วยน้ำตาว่า หลังคุณแม่ป่วยด้วยมะเร็งลำไส้ ทางนายพลทหารเรือคนดังที่มีครอบครัวอยู่แล้ว ไม่เคยมาเหลียวแลและใส่ใจในตัวคุณแม่เลย มีเพียงนายธนัช คุณพ่อเพียงคนเดียวที่กลับมาดูใจคุณแม่จนถึงนาทีสุดท้าย 

"หนูขอความเป็นธรรมกับพี่ๆ สื่อมวลชนด้วย บ้านและที่ดินล้วนแล้วแต่เป็นชื่อของหนูที่คุณแม่มอบไว้ให้ก่อนเสียชีวิต แต่อยู่ดีๆ กลับถูกนายทหารชื่อดังคนนี้เข้ามายึดครองและบอกว่ามีส่วนร่วมในบ้านหลังนี้ ตอนนี้หนูเองลำบากมากเพราะไม่สามารถเข้าไปในบ้านได้ เนื่องจากเขานำช่างมาเปลี่ยนกุญแจบ้านทั้งบ้าน ไม่ให้หนูกับน้องสาวเข้าไปอยู่ แม้แต่สุนัขพันธุ์เฟรนช์บูลด็อกที่เลี้ยงไว้ก็ยังไม่สามารถนำออกมาได้ ต้องขอร้องคนในบ้านให้ช่วยส่งคืน จนกระทั่งแม่บ้านเก่าแก่ของคุณแม่อุ้มออกมาให้ตนเอง โดยก่อนที่คุณแม่จะเสีย นายทหารคนนี้ยังพยายามแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมกับหนูและน้องสาว จนคุณแม่ประกาศตัดความสัมพันธ์ และทำให้เขาหายไปจากครอบครัวนานกว่า 3 ปี แต่อยู่ดีๆ ก็มาอ้างสิทธิ์ในบ้านหลังนี้ทั้งๆ ที่เป็นเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ครอบครัวเราหาซื้อมาด้วยหยาดเหงื่อตัวเอง"

ขณะที่นายธนัช บิดาน้องบี กล่าวว่า รู้สึกสงสารลูกสาวเป็นอย่างมากในฐานะหัวอกคนเป็นพ่อ ช่วงที่อดีตภรรยาตนเองป่วยด้วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย ตนเองทราบข่าวก็มาเยี่ยมดูแลป้อนน้ำป้อนข้าว แต่ไม่เคยเห็นทหารคนนั้นมาเยี่ยมเยียนหรือดูใจอดีตภรรยาของตนเองแม้แต่ครั้งเดียวเลย ครอบครัวตนเองต้องเป็นแบบนี้เพราะอะไร อยากให้สังคมตัดสินและให้ความเป็นธรรมกับลูกสาวตนเองด้วย

"ไม่มีพ่อแม่คนไหนหรอกที่ไม่รักลูกและห่วงใยอนาคตลูก สมบัติที่หามาได้ถ้าไม่ให้ลูกแล้วจะไปให้ใคร" นายธนัช กล่าวด้วยสีหน้าเศร้าสลด

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook