มิตรภาพเป็นแค่ลมปาก! ย้อนเรื่องแสบสหรัฐหลอกใช้ชาวเคิร์ด ก่อนโดนหักหลังครั้งแล้วครั้งเล่า
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้สั่งถอนทหารถอนกำลังออกมาจากบริเวณพื้นที่ตอนเหนือของซีเรียที่ติดต่อกับชายแดนตุรกีแล้วเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา ถือเป็นการเปิดทางสะดวกให้กองทัพตุรกีเข้ายึดครองโจมตีทางทหารในบริเวณดังกล่าว ซึ่งเป็นพื้นที่ยึดครองของกองกำลังชาวเคิร์ดในซีเรียและสหรัฐอเมริกายึดครองอยู่
ทั้งๆ ที่การถอนทหารดังกล่าว ซึ่งมองเห็นกันว่าคือ การทอดทิ้งกองกำลังชาวเคิร์ดในซีเรียที่เคยเป็นพันธมิตรร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันกับทหารอเมริกันทำการสู้รบปราบปรามกองกำลังของไอซิสแท้ๆ และที่สำคัญที่สุดคือจะทำอย่างไรกับนักโทษไอซิสที่เป็นชาวยุโรปอีกร่วม 5,000 คน และครอบครัวของพวกนักโทษไอซิสอีกร่วมหมื่นคน ซึ่งล้วนแต่เป็นพลเมืองของบรรดาประเทศในยุโรปแทบทุกประเทศต่างปฏิเสธที่จะยอมรับประชากรที่เป็นนักรบและครอบครัวของกองกำลังไอซิสของประเทศของตนกลับประเทศ
โดยปัจจุบันนี้กองกำลังชาวเคิร์ดในซีเรียเป็นผู้รับผิดชอบในการคุมขังนักโทษไอซิสและครอบครัวอยู่
ทั้งนี้ ชาวเคิร์ดเป็นกลุ่มชาติพันธุ์อินโด-ยูโรเปียนเหมือนชาวอิหร่านแต่ไม่ใช่ทั้งพวกอาหรับหรือเติร์ก (ซาลาดินผู้นำชาวมุสลิมขับไล่พวกครูเสดยุโรปออกจากนครเยซาเล็มได้สำเร็จเมื่อปี พ.ศ. 1730 ก็เป็นชาวเคิร์ด) ประชากรชาวเคิร์ดในภูมิภาคตะวันออกกลางมีประมาณ 40 ล้านคนกระจัดกระจายอยู่ในประเทศตุรกี ซีเรีย อิรักและอิหร่าน จัดว่าเป็นกลุ่มคนที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ไม่มีประเทศเป็นของตนเอง
ความจริงภายหลังหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 มีการก่อตั้งประเทศของชาวเคิร์ดขึ้นในชื่อว่า “เคอร์ดิสถาน” ขณะที่สนธิสัญญาแซฟส์ พ.ศ. 2466 แบ่งจักรวรรดิออตโตมานออกเป็นประเทศต่างๆ โดยประเทศเคอร์ดิสถานมีเนื้อที่ 392,000 ตารางกิโลเมตรครอบคลุมดินแดนบางส่วนของตุรกี ซีเรีย อิรัก และอิหร่าน
แต่ตุรกีไม่ยอมตามสนธิสัญญาแซฟส์ จึงเกิดการรบกันขึ้นอีกครั้งใหญ่และฝ่ายสัมพันธมิตรซึ่งล้าจากสงครามโลกครั้งที่ 1 จึงยอมทำสัญญาใหม่กับตุรกีคือ สนธิสัญญาโลซาน พ.ศ. 2469 ด้วยการล้มเลิกประเทศเคอร์ดิสถาน ทำให้มีชาวเคิร์ดกระจัดกระจายอยู่ในตุรกี 48% อยู่ในอิหร่าน 24% และอยู่ในอิรักประมาณ 20% ส่วนในซีเรียมีชาวเคิร์ดประมาณ 600,000 คนหรือ 9% ส่วนชาวเคิร์ดที่อพยพออกไปอยู่นอกภูมิภาคตะวันออกกลางเลยคือ บรรดาประเทศต่างๆ ในยุโรป และสหรัฐอเมริกา มีประมาณ 1 ล้านคนเศษ ส่วนใหญ่ของชาวเคิร์ดย้ายถิ่นเหล่านี้จะอยู่ในประเทศเยอรมนี
อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา สหรัฐอเมริกาเล่นตลกกับชาวเคิร์ดในประเทศที่มีชาวเคิร์ดอาศัยอยู่ในภูมิภาคตะวันออกกลางอยู่เป็นนิจ เช่นในอิรักและอิหร่าน เมื่อ 2 ประเทศนี้มีความขัดแย้งกับสหรัฐอเมริกา ทางการลุงแซมก็จะช่วยชาวเคิร์ดในทั้ง 2 ประเทศดังกล่าวติดอาวุธและด้านการเงินเพื่อต่อต้านรัฐบาลกลาง พอเมื่อสถานการณ์คลี่คลายก็จะทิ้งให้ชาวเคิร์ดถูกบดขยี้จากรัฐบาลกลางเป็นประจำอยู่แล้ว
สำหรับประเทศตุรกีซึ่งเป็นพันธมิตรใกล้ชิดของสหรัฐอเมริกาแต่มีประชากรเคิร์ดอาศัยอยู่เกือบครึ่งหนึ่งของบรรดาชาวเคิร์ดที่อาศัยอยู่ในตะวันออกกกลาง ก็ทำการปราบปรามกบฏชาวเคิร์ดในตุรกีอย่างแข็งขันจากการช่วยเหลืออย่างเต็มที่ทางอาวุธยุทโธปกรณ์จากสหรัฐอเมริกาในสมัยที่นายบิล คลินตันเป็นประธานาธิบดี เพื่อคร่าชีวิตชาวเคิร์ดในตุรกีนับหมื่นคนและทำลายหมู่บ้านของชาวเคิร์ดนับพันหมู่บ้านทีเดียว
นอกจากนี้เมื่อชาวเคิร์ดในอิรักเข้มแข็งขึ้นจากการช่วยเหลือทางทหารเมื่อสหรัฐอเมริกากวาดล้างซัดดัม ฮุสเซน จอมเผด็จการแห่งอิรัก และต้องสนับสนุนชาวเคิร์ดในอิรักให้สู้รบกับกองกำลังไอซิส ถึงกระนั้นสหรัฐอเมริกาก็ยังทำเป็นรู้ไม่ชี้เมื่อตุรกีปฏิบัติการทิ้งระเบิดใส่ที่มั่นของพวกชาวเคิร์ดในอิรัก
ครับ! ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 8 แล้วที่พวกชาวเคิร์ดในซีเรียถูกสหรัฐอเมริกาหักหลังอีก สมดังคำกล่าวที่มีชื่อเสียงของชาวเคิร์ดที่ว่า
“พวกเราชาวเคิร์ดไม่เคยมีมิตรแท้เลยนอกจากขุนเขา”