“จตุพร พรหมพันธุ์” แกนนำ นปช. ปลง เตรียมถูกฟ้องล้มละลาย
ประธาน นปช. ปลง เตรียมถูกฟ้องล้มละลาย พร้อมระบุ เชื่อรัฐบาลไม่พังเพราะเรื่องงบประมาณ แต่จะพังตอนใช้งบ อีกทั้งแนะ ผบ.ทบ. คราวหน้า ควรพูดให้คนไทยรักกัน จะเป็นประโยชน์กับตัวเองมากกว่า
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ภายหลังบรรยาย “แผ่นดินของเรา ในมุม จตุพร พรหมพันธุ์” ถึงกรณี ศาลแพ่งวินิจฉัย ให้แกนนำ นปช. 3 คนชดใช้ค่าเสียหายกว่าสามสิบล้าน เป็นคดีที่สองว่า ไม่มีอะไรต้องกังวล เพราะไม่มีเงิน ตั้งแต่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากการเป็น ส.ส.เมื่อ 18 พฤษภาคม 2555 ตนมีเงินเดือนอย่างเดียวก็คือ บำนาญ ส.ส.เดือนละ 14,000 บาท เพราะฉะนั้นอย่างไรก็ไม่มีปัญญาที่จะไปชดใช้
และทั้ง 2 คดีต่างก็ไม่มีจำเลยคดีทางอาญา ว่าเป็นผู้เผาแม้แต่เพียงรายเดียว โจทก์จึงฟ้องในสำนวนแรก ตั้งแต่ นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กองทัพบก กรุงเทพมหานคร ผู้ว่ากรุงเทพมหานคร แกนนำ นปช. และ อดีตนายกรัฐมนตรี ดร.ทักษิณ ชินวัตร ส่วนสำนวนที่สอง นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย บริษัทประกันภัย และพวกตนสามคน
เพราะฉะนั้น เป็นความเชื่อของศาล ซึ่งย้อนแย้งกับคำวินิจฉัย คดีแพ่งอื่น ๆ เช่น กรณี ตลาดหลัดทรัพย์ ได้ยืนยันว่า นปช.ยุติการชุมนุมตั้งแต่ 13.30 น. ส่วนกรณีคดีที่สองที่มีการวินิจฉัยลงกันไปนั้น ได้นำเอาหลักฐานมาจาก วิกิพิเดีย ซึ่งใครเขียนลงไปก็ได้ เป็นครั้งแรกของประเทศไทย
ดังนั้น คดีแรก ต้องชดใช้ 19 ล้านบาทรวมดอกเบี้ย เป็นกว่าสามสิบล้านบาท คดีที่สอง 21 ล้าน บวกค่าเสียโอกาสบวกดอกเบี้ย ก็กว่าสามสิบล้านบาทเช่นเดียวกัน รวมสองคดี ก็กว่าหกสิบล้านบาท
ทั้งนี้ ตนล้มตั้งแต่คดีแรก ต้องไปพิทักษ์ทรัพย์ และถูกฟ้องล้มละลาย ไม่แตกต่างจากชะตากรรมของกลุ่มพันธมิตร ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ถูกฟ้องค่าเสียหายจากการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย และวิทยุการบินฯ เงินต้นบวกดอกเบี้ยเกินหนึ่งพันล้านบาท รวมถึงการบินไทย ที่รอคดีอาญาจบ ก็ต้องชดใช้ค่าเสียหายอีกร่วมพันล้านบาท
อย่างไรก็ตาม เราอยู่ในสถานะที่ไม่แตกต่างกัน จะหกสิบล้านหรือพันล้านก็มีค่าเท่ากัน เพราะฉะนั้นตนจึงบอกว่าคดีแรกก็ตายแล้ว คดีที่สองก็เหมือนยิงซ้ำ ศพที่ตายไปแล้ว ไม่มีอะไรแตกต่าง เจตนาของโจทก์ไม่ได้มุ่งมาที่ นปช. แต่มุ่งไปที่รัฐบาลและผู้เกี่ยวข้อง รวมถึงคดีแพ่งอื่นๆ ก็มีการย้อนแย้ง พิสูจน์กันได้ และก็ไม่มีจำเลยคดีอาญาแม้แต่เพียงรายเดียว ว่าใครเป็นผู้เผา
คดีแรกถึงขนาดว่า ทั้งโจทก์และจำเลยร่วม กองทัพบก กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง ต่างยืนยันว่าตนไม่ได้พูดให้เกิดการต่อต้าน เผาบ้านเผาเมือง ตนพูดเหมือนดร.ทักษิณ ในขณะที่ ดร.ทักษิณ ถูกยกฟ้อง แต่ตนถูกลงโทษ ด้วยเหตุผลว่าตนเป็น ประธาน นปช. ทั้งที่ขณะนั้นตนไม่ได้เป็นประธาน นปช. ทั้งหมด เมื่อคำพิพากษาถึงที่สุด ก็คงต้องดูว่าใช้ช่องทางใดได้บ้าง แต่ในทางปฏิบัติ ไม่มีปัญญาจ่าย ก็คงหนีล้มละลายไม่พ้น
เมื่อถามว่า วาระที่สองในการพิจารณา งบประมาณ ปี 2563 ฝ่ายค้านและรัฐบาลจะพูดคุยกันได้หรือไม่ นายจตุพร กล่าวว่า เป็นขั้นตอน ในฐานะที่ตนเคยเป็น ส.ส. การแปรญัตติ เป็นสิทธิของฝ่ายค้าน ใช้เสียงในกระบวนการรัฐสภา ตนเชื่อว่าทุกฝ่าย ทำตัวเป็นน้ำไม่เต็มแก้วกัน ยึดถือผลประโยชน์ประเทศเป็นหลักจะพูดคุยกันได้ รัฐบาลจะไม่ล้มเพราะงบประมาณฯ แต่จะล้มเพราะเรื่องการใช้งบประมาณ ฯ การทุจริต คอร์รัปชั่น การอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ทั้งนี้ เรื่องอภิปรายงบประมาณ เป็นกระบวนการปกติ ทั้งในกรรมาธิการและในสภาฯ วาระที่สอง ถ้าฝ่ายค้านมีเหตุผลที่ดีกว่า รัฐบาลดื้อดึง รัฐบาลก็ไปยาก ตนเชื่อว่า หลักแสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง เอาคนไทยให้รอด ตนเชื่อว่า คนไทยยังคุยกันได้ เพราะมันไม่ใช่เรื่องตัวเอง เป็นเรื่องประเทศชาติ
"จากประวัติศาสตร์การเมือง รัฐบาลไม่ได้พังตอนเสียงน้อย แต่พังตอนเสียงมากทั้งนั้น แต่ว่าขาดความชอบธรรมเมื่อไร ทุจริตเมื่อไร คอร์รัปชั่นเมื่อไร รัฐบาลก็จะพังเมื่อนั้น วันนี้ตนเชื่อว่า สังคมสื่อสารไร้พรมแดน ทุกสิ่งทุกอย่างตรวจสอบได้" นายจตุพร กล่าว
นายจตุพร ยังกล่าวถึงเรื่องที่บอกว่า เห็นด้วยกับสิ่งที่ พลเอกอภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. พูดในสองเรื่อง และมีเรื่องไม่เห็นด้วยว่า ในวันดังกล่าว ถ้าเป้าประสงค์แค่สองข้อ คือเรื่องสถาบันกษัตริย์ และ ประเทศไทยเป็นหนึ่งเดียวจะแบ่งแยกมิได้ จะได้แนวร่วมจากคนทั้งชาติ และหลีกเลี่ยงข้อขัดแย้ง แต่เรื่องปลีกย่อยอื่น ๆ ก่อให้เกิดเป็นปัญหากระทบ ถ้าจะเปิดทอล์คโชว์อีกครั้งหนึ่ง ขอให้พูดให้คนไทยรักกัน จะเป็นประโยชน์กับท่านมากกว่า
ส่วนเรื่องอื่นๆ สถานการณ์ในปัจจุบัน คอมมิวนิสต์ มาร์กซิส เต็มรูปแบบไม่มีอีกต่อไป จีนก็เหลือแค่รูปแบบการปกครอง แต่ทางเศรษฐกิจ จีนเป็นทุนนิยมที่ยิ่งใหญ่ เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ทันทีที่พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พลเอกอภิรัชต์จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อนั้น ท่านจะเริ่มโชคร้าย เป็นการชี้เป้า ในประเทศไทย ใครถูกชี้ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีสังคมก็จะไปโฟกัส เป็นทุกขลาภมากกว่าความสุข