ใจสลาย! น้องชายโดนกระบะชน จนโคม่า แต่คู่กรณียังระรื่น-หนีหาย ทั้งที่เหยื่อหายใจเองไม่ได้
ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง โพสต์เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (22 ต.ค.) เพื่อบอกเล่าเรื่องราวที่เหมือนฝันร้าย เมื่อน้องชายของตน ได้รับอุบัติเหตุ ด้วยการโดนรถกระบะคันหนึ่งเบียดชน จนศีรษะได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนัก ทำให้นอนโคม่าที่โรงพยาบาลนาน 3 สัปดาห์แล้ว แต่คู่กรณีไม่เคยแสดงความรับผิดชอบใดๆ
ผู้โพสต์เล่ารายละเอียดว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อเวลา 07.40 น. วันที่ 30 ก.ย. น้องชายของตนขับรถจักรยานยนต์อยู่บนถนนประเสริฐมนูกิจ เขตลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร แต่แล้วรถกระบะคันหนึ่งที่ขับตามหลังมาเบียดรถของน้องตนจากด้านหลัง ทำให้เสียหลักและศีรษะกระทบกระเทือน ทั้งที่สวมหมวกกันน็อกอยู่
หนีหายหลังรู้ตัวเป็นฝ่ายผิด
หลังจากนั้น คู่กรณียืนยันว่าตัวเองไม่ใช่ฝ่ายผิด แต่น้องชายของผู้โพสต์ขับจักรยานยนต์มาเกี่ยวกับรถของตัวเอง และไม่ได้ขับลากร่างของน้องชายผู้โพสต์ไถไปกับถนน
อย่างไรก็ตาม เมื่อฝ่ายครอบครัวเหยื่อหาหลักฐานพบว่า คู่กรณีขับรถชนน้องชายผู้โพสต์ ประกอบกับตำรวจยืนยันว่าคู่กรณีเป็นฝ่ายผิด คู่กรณีจึงพยายามเลี่ยงไม่มาพบครอบครัวเหยื่อและตำรวจหลายครั้ง ทั้งยังติดต่อได้อย่างยากลำบาก
ไม่เคยขอโทษ ไม่เคยรับผิดชอบ
ผู้โพสต์ระบุต่อไปว่า หลังจากคู่กรณีทราบว่าเป็นฝ่ายผิด กลับไม่เคยได้ยินคู่กรณีขอโทษแม้แต่คำเดียว และไม่เคยรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
"ก่อนเราหาหลักฐานกล้องวงจรปิดมาได้เอง ไม่ยอมรับผิดบอกว่าน้องเราขับมาเกี่ยวเอง พอเราได้หลักฐานกลับคำให้การ ไม่เคยขอโทษสักคำ นัดกี่ครั้งก็ไม่มา ***ไม่เคยให้การช่วยเหลือใดๆทั้งสิ้น*** ในขณะคนชนไม่มารับผิดชอบ ใช้ชีวิตอย่างปกติ มีอารมณ์เปลี่ยนรูปโปรไฟล์ไลน์ น้องเราจะหายใจเองยังทำไม่ได้เลย" ผู้โพสต์ ระบุ
ผู้โพสต์ระบุว่า คู่กรณีของน้องชายตนขับรถโดยที่ไม่มีใบขับขี่ แถมรถกระบะคันนั้นก็ไม่มี พ.ร.บ. ด้วย แต่ที่สำคัญคือไม่มีแม้แต่คำขอโทษ และไม่เคยมารับผิดชอบใดๆ ทั้งนั้น
"ไม่ยอมรับผิดบอกว่าน้องเราขับมาเกี่ยวเอง พอเราได้หลักฐานกลับคำให้การ ไม่เคยขอโทษสักคำ นัดกี่ครั้งก็ไม่มา ***ไม่เคยให้การช่วยเหลือใดๆทั้งสิ้น*** ในขณะคนชนไม่มารับผิดชอบ ใช้ชีวิตอย่างปกติ มีอารมณ์เปลี่ยนรูปโปรไฟล์ไลน์ น้องเราจะหายใจเองยังทำไม่ได้เลย" ผู้โพสต์ ระบุ
อนาคตน้องชายดับวูบ พ่อแม่สุดทรมาน
ผู้โพสต์เล่าอีกว่า น้องชายตนไม่ข้องเกี่ยวกับอบายมุข การศึกษาดี และมีอนาคตที่สดใส แต่สิ่งที่เกิดยิ่งทำให้อาการป่วยของพ่อย่ำแย่ลง ส่วนแม่ก็อยู่ด้วยความทรมาน ทั้งที่ควรใช้ชีวิตหลังเกษียณอย่างมีความสุข
"น้องชายเราเป็นผู้ชายคนเดียวของบ้าน เป็นคนดีมาก ไม่กินเหล้าไม่สูบบุหรี่ จบการศึกษาระดับปริญญาโท ประกอบอาชีพสุจริต มีอนาคตที่สดใส เหตุการณ์ในครั้งนี้ไม่ส่งผลกระทบแต่เพียงน้องเราที่ยังไม่ฟื้นยัง ไม่พ้นอาการโคม่า และแพทย์ยังไม่สามารถบอกได้ว่า จะสามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติได้หรือไม่ แต่ยังส่งผลกระทบอย่างแสนสาหัสต่อทั้งครอบครัว
พ่อเราก็เป็นโรคหัวใจเหตุการณ์นี้ส่งผลต่ออาการเจ็บป่วยของพ่อ แม่เราที่ควรจะได้ใช้ชีวิตหลังเกษียณอย่างมีความสุขต้องมาทนทุกข์อย่างแสนสาหัสในเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วย"
อัลบั้มภาพ 5 ภาพ