ศาลฎีกาสั่งคุก 4 ปี แกนนำ นปช.ล้มประชุมอาเซียน ไร้เงา "อริสมันต์"

ศาลฎีกาสั่งคุก 4 ปี แกนนำ นปช.ล้มประชุมอาเซียน ไร้เงา "อริสมันต์"

ศาลฎีกาสั่งคุก 4 ปี แกนนำ นปช.ล้มประชุมอาเซียน ไร้เงา "อริสมันต์"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ศาลฎีกาเมืองพัทยานัดอ่านคำพิพากษา คดีฉาวกลุ่ม นปช.บุกล้มการประชุมอาเซียนปี 2552 ก่อนสั่งจำคุก 3 แกนนำเป็นเวลา 4 ปี ขณะที่ "อริสมันต์" ไม่มาปรากฏตัว

(31 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลจังหวัดพัทยา จ.ชลบุรี วันที่ 31 ตุลาคม 2562 ได้ศาลนัดอ่านคำพิพากษา ศาลฎีกาคดีแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) นำพากลุ่มคนเสื้อแดงบุกล้มการประชุมอาเซียน ที่โรงแรมรอยัล คลิฟ บีช รีสอร์ท เมืองพัทยา เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2552

โดยพนักงานอัยการจังหวัดพัทยาเป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง, นายนพพร นามเชียงใต้, พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์, นายสมญศฆ์ พรมภา, นายนิสิต สินธุไพร, นายสำเริง ประจำเรือ, นายศักดา นพสิทธิ์, นายสิงห์ทอง บัวชุม, นายธนกฤต หรือ วันชนะ ชะเอมน้อย, นายวรชัย เหมะ, นายพายัพ ปั้นเกตุ, นายวัลลภ ยังตรง และนายพิเชฐ สุขจินดาทอง

ทั้งนี้ ได้พักคดี พ.ต.ต.เสงี่ยม สำราญรัตน์ และ นายสุรชัย แซ่ด่าน เนื่องจากหลบหนี ขณะที่ นายธรชัย ศักดิ์มังกร และ พ.ต.อ.สมพล รัฐกาญจน์ ศาลชั้นต้นยกฟ้อง

จากกรณีเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2552 พวกจำเลยนำพากลุ่มคนเสื้อแดงบุกล้มการประชุมอาเซียน ในช่วงที่กลุ่ม นปช.มีการชุมนุมใหญ่ปี 2552 ขับไล่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี โดยได้แจ้งข้อหา ประกอบด้วย 1.ร่วมกันขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน ซึ่งสั่งให้เลิกการมั่วสุม 2.ข้อหาร่วมกันเดินแถวเป็นขบวน และกระทำด้วยประการใดๆ ในลักษณะที่เป็นการกีดขวางการจราจร

3.ร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชน ด้วยวาจาหรือวิธีอื่นใด อันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ และมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่ก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร และเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน

4.มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองโดยเป็นหัวหน้า เป็นผู้มีหน้าที่สั่งการในการกระทำผิดนั้น และ 5.ร่วมกันบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ โดยขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116, 215, 216, 358, 362, 364, 365 และ พ.ร.บ.จราจรทางบก มาตรา 108, 114, 148 ต่อมาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้จำคุกจำเลยจำนวน 13 คน เป็นเวลา 4 ปี ไม่รอลงอาญา คุก 4 ปี 12 แกนนำ นปช.

โดยเมื่อวันที่ 11 กันยานที่ผ่านมา ศาลฎีกาได้นัดอ่านคำพิพากษาคดีแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) นำพากลุ่มคนเสื้อแดงบุกล้มการประชุมอาเซียนที่เมืองพัทยา แต่ปรากฎว่าจำเลยทั้ง 13 คน มาเพียงคนเดียว ศาลจึงได้อ่นคำพิพากษาของ นายศักดา นพสิทธิ์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อชาติ ซึ่งเป็นจำเลยที่ 10

ซึ่งชั้นศาลอุทธรณ์ภาค 2 นั้น พิพากษาให้จำคุกจำเลยที่ 1, 2, 3, 5, 6, 10, 11, 12, 13, 15, 16, 17 คนละ 4 ปีโดยไม่รอการลงโทษ ฐานร่วมกันทำให้ปรากฏแก่ประชาชนเพื่อให้เกิดความปั่นป่วนฯ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 (2) (3) ซึ่งเป็นบทหนักที่สุด ขณะที่ชั้นศาลอุทธรณ์ ก็ให้ปรับจำเลยที่ 1, 2, 3, 5, 6, 10, 11, 12, 13, 15, 16, 17 คนละ 200 บาท ฐานร่วมกันเดินแถวเป็นกระบวนและกระทำในลักษณะกีดขวางการจราจร ตามที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาด้วย

และได้นัดอ่านคำพิพากษาจำเลยที่อ้างว่าไม่ได้รับนัดหมายเรียกศาลมาเป็นวันที่ 31 ตุลาคม 2562 โดยวันนี้มีจำเลย 3 คน ที่เดินทางมารับฟังคำพิพากษา คือ พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์, นายสำเริง ประจำเรือ และนายวรชัย เหมะ ทั้ง 3 คน ก่อนหน้านี้ไม่ได้รับหมายเรียกศาล ซึ่งศาลได้มีการอ่านคำพิพากษาไปแล้ว คือจำคุก 4 ปี ไม่รอลงอาญา และก็ได้เตรียมใจในการรับโทษ เพราะตามกระบวนการยุติธรรม หากมีคำพิพากษาไปแล้วแม้จำเลยจะเดินทางมารับฟังหรือไม่ก็ต้องรับโทษตามกระบวนการยุติธรรม

สำหรับบรรยากาศในวันนี้นั้น พบว่ามี นายจตุพร พรหมพันธุ์ หนึ่งในแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช) ได้เดินทางมาให้กำลังจำเลยทั้ง 3 คนที่มารับฟังคำพิพากษาของศาล

มีรายงานว่าก่อนหน้าหลังจากที่ศาลฎีกาได้อ่านคำพิพากษานัดแรกไปเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2552 ซึ่งมีเพียงนายศักดา นพสิทธิ์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อชาติ ซึ่งเป็นจำเลยที่ 10 เพียงคนเดียวมารับฟังคำพิพากษา

และในวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา มีจำเลยอีก 4 คน ได้เข้ามอบตัวต่อศาลจังหวัดพัทยา ประกอบด้วย นายพายัพ ปั้นเกตุ, นายพิเชฐ สุขจินดาทอง ,นายสิงห์ทอง บัวชุม และนายนพพร นามเชียงใต้ และในวันนี้ยังมีจำเลยอีก 3 คน ที่ไม่ได้เดินทางมารับฟัวคำพิพากษาของศาลฎีกา คือ นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง, นายแพทย์ชวัลลภ ยังตรง และ นายธนกฤต หรือ วันชนะ ชะเอมน้อย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook