คุณแม่เปิดใจทั้งน้ำตา นาทีสูญเสียลูกตัวน้อย โบ้ย รพ.รักษาชุ่ย-ไม่ได้เยียวยา
คุณแม่ยังช็อกติดตา วินาทีเห็นลูกชายช็อกตาตั้ง เจ้าหน้าที่แห่เข้ามาช่วยปั๊มหัวใจอยู่นาน โบ้ยโรงพยาบาลรักษาสุดชุ่ย หมอไม่ถามอาการเด็กสักคำ กระทั่งสิ้นใจตายเพียงไม่กี่ชั่วโมงต่อมา
จากกรณีที่คุณแม่พาลูกชายเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ย่านเทพารักษ์ แต่ปรากฏว่าคุณหมอไม่ได้แจ้งอาการว่า ลูกป่วยเป็นอะไร แต่ให้พ่นยาและเจาะเลือด หลังจากนั้นไม่นานลูกก็เริ่มเกิดอาการชักเกร็ง ตาเหลือก และเสียชีวิตลงในที่สุด เหตุการณ์ผ่านมา 2 เดือน แต่ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ รวมทั้งยังไม่ได้รับการเยียวยาจากทางโรงพยาบาล
ล่าสุด "คุณแม่รุ่ง" แม่ของเด็กชายผู้เสียชีวิต ได้ออกมาเปิดใจพูดคุยผ่านรายการ โหนกระแส เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน ทางช่อง 33 หมายเลข 33 พร้อมกับ "ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์" ที่มาช่วยแนะนำให้ส่วนของสิทธิต่างๆ ที่สามารถทำการเรียกร้องได้
คุณแม่มีลูกกี่คน?
แม่รุ่ง : "3 คนค่ะ น้องที่ไปรักษาตัวเป็นลูกคนสุดท้อง อายุ 2 ขวบ 8 เดือน น้องแข็งแรงมากค่ะ ป่วยก็เป็นไข้ตัวร้อนธรรมดา ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยแอดมิด ไม่เคยพ่นยาอะไรทั้งนั้นเลยค่ะ"
เหตุการณ์เกิดขึ้นวันไหน?
แม่รุ่ง : "5 กันยายนค่ะ ตอน 8 โมงเช้าพาน้องไปหาหมอ ยื่นเอกสารเสร็จก็พาน้องขึ้นไปชั้น 2 เพื่อซักประวัติน้อง พยาบาลก็ถามว่าน้องเป็นอะไร ก็บอกว่าน้องอาเจียนทั้งคืน ขอกินแต่น้ำ ไม่ไอ ไม่มีน้ำมูก วัดไข้ตอนนั้น 37.5 น้องไม่มีประวัติแพ้ยา ไม่เคยป่วย เขาบอกให้นั่งรอหมอ เพราะหมอยังไม่ลงมา ก็รอหมอจนประมาณ 10 โมง"
คุณหมอตรวจอะไรบ้าง?
แม่รุ่ง : "หมอไม่ตรวจค่ะ เห็นนั่งดูหน้าคอมพ์ แล้วถามว่าน้องอาการเป็นยังไง ก็บอกว่าน้องอาเจียนเยอะ ขอกินแต่น้ำ หนูบอกว่ากลัวน้องเป็นไข้เลือดออก เขาบอกว่าไม่ใช่หรอกมั้ง ก็ให้เจาะเลือด แล้วพาไปตรวจไข้หวัดใหญ่และพ่นยา"
หมอบอกหรือไม่ น้องเป็นอะไร ทำไมต้องเจาะเลือด?
แม่รุ่ง : "ไม่เลยค่ะ ตอนแรกหนูแย้งหมอ หนูกลัวน้องจะเป็นไข้เลือดออก เขาบอกไม่ใช่หรอก หมอก็ไม่ได้แจ้งอาการ ไม่ได้อธิบาย"
แล้วปกติหมอก็ต้องอธิบายไหม?
ทนายเดชา : "ในคดีทางการแพทย์ มีขึ้นสู่ศาลเยอะมาก คำพิพากษาฎีกาวางหลักไว้ชัดเจน ขั้นตอนการตรวจร่างกายสำคัญ คนซักประวัติต้องเป็นแพทย์เท่านั้น ไม่ใช่พยาบาล ถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่หมอต้องทำ คำพิพากษาศาลฎีกาวางหลักว่าต้องอธิบายให้หมดว่าเป็นอะไร วิธีการรักษา ผลกระทบ ต้องบอกให้หมด"
แล้วคุณแม่ทำยังไงต่อ?
แม่รุ่ง : "พยาบาลก็ตรวจไข้หวัดใหญ่ก่อนเลย แล้วพาน้องไปเจาะเลือด พ่นยา ประมาณ 30 นาที รอผลเลือด ณ ช่วงรอนั้น น้องเริ่มหน้าซีดลง แต่น้องคุยโต้ตอบได้ เขาขอกินแต่น้ำ ดูดนมไปนิดหน่อยก็อาเจียนออก เขาเพลีย พอถึงเวลาที่พยาบาลเรียกชื่อน้องให้ไปพบหมอ ปรากฎว่าหมอน่าจะไปเข้าห้องน้ำ ตอนนั้นน้องหน้าซีด หนูแจ้งพยาบาลแล้วว่าน้องหน้าซีด พยาบาลบอกว่าน้องยังไหวอยู่ ใจเย็นๆ
หนูก็ถามน้อง น้องก็บอกว่าไหวครับ (ร้องไห้) สู้ๆ ครับแม่ เขานอนลงไป พอหมอเดินมาหนูก็แจ้งหมอว่าน้องหน้าซีด ปากเขียวแล้ว หมอบอกไม่ใช่หรอก แอร์ในห้องมันเย็น หนูบอกว่าน้องหายใจเร็วด้วย เขาก็ให้เปิดเสื้อน้อง แล้วมองน้องด้วยสายตา ทั้งที่เขาน่าจะจับชีพจรน้องหรือฟังปอดของน้อง
สักพักเขาก็หันหน้ากลับไป แล้วบอกว่าให้พาไปพ่นยาอีกรอบ รวมทั้งฉีดยาให้อีกเข็มนึง หนูถามว่าจะให้น้องแอดมิดไหม เขาก็ถามกลับว่าจะให้นอนหรือไม่ หนูก็บอกว่าให้นอน เพราะกลัวกลับไปแล้วกลัวว่าจะเป็นเยอะ เขาบอกให้ลงไปพ่นยา ฉีดยา แล้วกลับมาส่งตัวนอน เดี๋ยวมันจะช้า
พอพาน้องลงไป หนูไปเบิกยา เอาน้องนั่งเก้าอี้ มาห้องพ่นยา หนูเอาน้องนั่งบนโต๊ะ แล้วหันหลังเอาเอกสารยายื่นให้พยาบาล พอเอาน้องนั่ง พยาบาลมาเอาตัวครอบใส่น้อง น้องได้กลิ่นยาเขาก็ดึงออก เขาเรียกเราว่า "แม่ๆ" สองคำ แล้วขาเหยียดเกร็ง หนูก็เรียกพยาบาล ถามว่าลูกเป็นอะไร พยาบาลก็วิ่งมากระชากตัวน้อง พาน้องไปห้องติดกัน ปล่อยให้เราอยู่ข้างนอก หนูตะเกียกตะกายดู ลูกชักแบบตาค้างตาเหลือก ตอนนั้นสติหนูแตกไปแล้ว ยังเป็นภาพติดตาเราตลอด (ร้องไห้)"
ในตอนนั้นแม่คิดถึงขนาดว่าน้องจะไม่อยู่กับเราหรือเปล่า?
แม่รุ่ง : "ไม่ค่ะ หนูคิดว่ายังไงน้องก็ไม่เป็นเยอะขนาดนั้น หมอพยาบาลก็บอกว่าไม่เป็นอะไรนะ พูดคำนี้ หนูก็เชื่อมั่นในคำพูดเขา หนูตั้งสติไม่ได้ จังหวะนั้นพ่อน้องมาถึงโรงพยาบาลพอดี สติหนูแตกไปแล้ว หนูเห็นลูกชักตาเหลือก เราช่วยอะไรไม่ได้เลย เราเข้าไปไม่ได้ (ร้องไห้) เขาปั๊มหัวใจลูกหนู ประมาณชั่วโมงถัดไป ถึงเข้าไปดูลูกได้ เขาพูดตลอดว่าลูกไม่เป็นอะไร เป็น 1 ชั่วโมง หลังเจอหมอ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก (ร้องไห้) แค่ 2-3 ชั่วโมงต่อมา ลูกหนูก็จากหนูไปแล้ว (ร้องไห้)"
หมอปั๊มหัวใจนานอยู่นานแค่ไหน?
แม่รุ่ง : "หนูติดใจว่าเด็กตัวแค่นั้น ทำไมถึงใช้คนตัวโตๆ เป็นผู้ชายขึ้นปั๊ม ขึ้นขย่มเต็มที่เลย แฟนบอกว่าให้หมอพอเถอะ สงสารลูก เลือดน้องออกปากหมดแล้ว ลูกเจ็บ หนูดูไม่ได้ (ร้องไห้)"
ตอนนี้หมอบอกว่าน้องเสียเพราะอะไร?
แม่รุ่ง : "เขาบอกตอนน้องเสียว่าเป็นภาวะหัวใจล้มเหลวแค่นั้น แต่น้องติดใจว่าน้องเป็นภาวะหัวใจล้มเหลวได้ยังไง เพราะน้องไม่ได้เป็นโรคหัวใจ หนูติดใจตรงนี้ ตอนรับส่งน้อง โรงพยาบาลบอกว่าจะช่วยเหลือเต็มที่เรื่องเงินเยียวยา ให้แม่ทำงานศพน้องให้เสร็จก่อน เดี๋ยวโรงพยาบาลจะรีบดำเนินการให้ เขาโทรหาหนู 2 ครั้งและส่งแชทหาหนู วันที่ 18 กันยายน หนูเข้าไปเอาเอกสารไปส่งให้หัวหน้าพยาบาล เขาบอกว่าจะยื่นเรื่องให้"
ทั้งนี้ทางรายการยังได้โทรศัพท์ติดต่อไปยัง "นพ.วิเชษฐ พัวพันกิจเจริญ" ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบางพลี หลังจากที่คุณแม่ยืนยันไม่เคยได้รับคำขอโทษหรือคำชี้แจงใดๆ จากทางโรงพยาบาลเลย
นพ. วิเชษฐ : "ก่อนอื่นต้องขอแสดงความเสียใจกับคณแม่กับสิ่งที่เกิดึ้น เป็นความสูญเสียที่เราก็เสียใจด้วย อาการน้องวันนั้นที่มา น้องเขาไข้ ไอ และหอบ หมอตรวจเบื้องต้นคิดว่าเป็นปอดอักเสบ เตรียมการให้นอนโรพยาบาล ช่วงพ่นยา น้องเขามีอาการเปลี่ยนแปลง และหยุดหายใจ คุณหมอก็ช่วยกัน แต่สุดท้ายน้องก็เสียชีวิต
ในตรงนี้เรามีการพูดคุยกับทางคุณพ่อคุณแม่เบื้องต้นไปแล้ว และสาเหตุที่แท้จริง ก็ขออนุญาตคุณพ่อคุณแม่ไปชันสูตรศพ คาดว่าผลจะออกสัปดาห์หน้า ทางโรงพยาบาลก็เสียใจ และได้ช่วยเหลือเบื้องต้นไปแล้ว เรื่องค่าทำศพ เรื่องการดำเนินการขอรับการช่วยเหลือการเยียวยา ตรงนี้ก็เร่งรัดให้ และประชุมไปแล้ว มีมติให้อนุมัติเงินช่วยเหลือ 4 แสน เมื่อวานส่งทีมงานไปเยี่ยมคุณพ่อคุณแม่ วันนี้นัดหมายคุณพ่อคุณแม่มารับเช็คเงินเยียวยาตอนบ่ายได้เลย"
เป็นจำนวนเงิน 4 แสนบาท?
นพ. วิเชษฐ : "ตามมติกรรมการ เรียนเชิญคุณพ่อคุณแม่มารับที่รพ. เราอยากแสดงความเสียใจ และอยากหาทางช่วยเหลืออื่นด้วย ก็เชิญมาที่โรงพยาบาล เดี๋ยวจะพูดคุยกันในครอบครัวว่ามีอะไร"
ทำไมเกือบ 2 เดือนแล้ว ผลชันสูตรน้องยังไม่ออก?
นพ.วิเชษฐ : "ขั้นตอนทางการแพทย์ ผมไม่แน่ใจ แต่เราเพิ่งส่งไปทางโรงเรียนแพทย์ ประสานงานล่าสุด ก็เขาบอกว่าจะออกอาทิตย์หน้า ตอนนี้กรรมการมีมติเรียบร้อยแล้วว่าจะช่วยเหลือครอบครัวโดยไม่สนผลชันสูตรใดๆ ทั้งสิ้น"
ทนายคะ 2 เดือนนานไปหรือไม่?
ทนายเดชา : "ก็ถือว่านานครับ เพราะมันไม่ได้มีอะไรซับซ้อน"
ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้กับคนไข้รายอื่น ต้องทำยังไง?
ทนายเดชา : "ต้องดูว่ารักษาช้าหรือเปล่า สองรักษาผิดวิธีจนทำให้เด็กตายหรือเปล่า ประมาทมั้ย การประมาทอาจนำสืบยากในทางปฏิบัติทางการแพทย์ เช่น ความบกพร่องในการทำงาน ถ้ามีความบกพร่อง โรงพยาบาลก็ต้องรับผิด หมอต้องรับผิดเป็นการส่วนตัว"
เงินจำนวน 4 แสนน่าพอใจไหม?
ทนายเดชา : "เงิน 4 แสนนี่ถ้าเทียบกับชีวิตคนไม่โอเค 4 แสนนี่ไม่ใช่เงินโรงพยาบาลนะ เป็นเงินหลักประกันสุขภาพ ส่วนทางโรงพยาบาลต้องรับผิดอะไรต้องไปเจรจา และฟ้องร้องกันต่อไป ขอบเขตเบื้องต้นของเงิน 4 แสนมีเพียงเท่านั้นเอง"