ส่องผลเลือกตั้งแคนาดา มีแววได้รองนายกฯ เป็นชาวซิกข์ผู้เคยถูกล่วงละเมิดทางเพศ
แคนาดาเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลกโดยมีเนื้อที่ถึง 9,984,670 ตารางกิโลเมตร (เป็นรองรัสเซียที่มีเนื้อที่ 17,101,300 ตารางกิโลเมตร) ตั้งอยู่ในทวีปอเมริกาเหนือติดกับสหรัฐอเมริกา
เป็นประเทศที่มีที่ตั้งอยู่ทางเหนือมากที่สุดของโลก ปัจจุบันแคนาดาใช้ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ปัจจุบันคือสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักรเป็นประมุข
เนื่องจากแคนาดาเดิมเป็นอาณานิคมของอังกฤษ แต่ได้สิทธิในการปกครองตนเองตั้งแต่ปี พ.ศ. 2410 และได้ขยายอาณาเขตการปกครองอีกในปี พ.ศ. 2474 และในปี พ.ศ. 2525 แคนาดาก็เป็นเอกราชโดยสมบูรณ์โดยตัดขาดจากการขึ้นตรงต่ออำนาจของรัฐสภาอังกฤษ
ประเทศแคนาดาประกอบด้วยรัฐ 10 รัฐ และดินแดน 3 แห่ง โดยแคนาดาเป็นประเทศที่ใช้ภาษาทางการ 2 ภาษาคือ ภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส รวมทั้งยังมีความหลากหลายทางวัฒนธรรม แคนาดาเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วซึ่งมีอุตสาหกรรมที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังเป็นประเทศเกษตรกรรมที่ส่งออกผลิตภัณฑ์การเกษตรไปทั่วโลก มีเศรษฐกิจที่หลากหลายโดยพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ และพึ่งพาการค้าขายโดยเฉพาะกับสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นประเทศมหาอำนาจทางทิศใต้ของแคนาดาเป็นอันดับหนึ่ง แต่ประเทศแคนาดามีประชากรน้อยมากเมื่อเทียบกับพื้นที่ของประเทศแล้วคือมีประชากรทั้งสิ้นประมาณ 37,602,103 คนเท่านั้น (แคนาดามีประชากรน้อยกว่าประเทศไทยเกือบครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว)
ทั้งนี้ ผลการเลือกตั้งทั่วไปของแคนาดาที่มีขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่ 21 ตุลาคมที่ผ่านมานี้ ปรากฏผลการเลือกตั้งของหน่วยเลือกตั้งทั้ง 6 โซนเวลาทั่วประเทศมีดังนี้คือ
อันดับ 1 คือ พรรคลิเบอรัล ที่หัวหน้าพรรคคือ นายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด วัย 47 ปี ได้ 156 ที่นั่ง จากเขตเลือกตั้ง 338 เขต
อันดับ 2 คือ พรรคคอนเซอร์เวทีฟ ที่หัวหน้าพรรคคือ แอนดรูว์ เชียร์ วัย 40 ปี คู่แข่งสำคัญของทรูโด พรรคของเขาได้ 122 ที่นั่ง มากกว่าการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาในปี 2558 ที่ได้ 95 ที่นั่ง
สำหรับพรรคที่ตามมาอันดับ 3 คือ พรรคบล็อก เคเบกัวส์ ซึ่งมีนโยบายที่จะแบ่งแยกรัฐควิเบกออกจากแคนาดา และส่งผู้สมัครลงเฉพาะในเขตเลือกตั้งของรัฐควิเบก ได้ 32 ที่นั่ง มากกว่าการเลือกครั้งก่อนที่พรรคได้เพียง 10 ที่นั่ง
อันดับ 4 คือ พรรคประชาธิปไตยใหม่ (เอ็นดีพี) ที่หัวหน้าพรรคคือ จักมีต ซิงห์ ชาวซิกข์ที่บิดามารดาของเขาอพยพมาจากประเทศอินเดีย ได้ 24 ที่นั่ง
AFP
และอันดับ 5 ได้แก่ พรรคกรีน ได้ 3 ที่นั่ง
การเลือกตั้งครั้งนี้ชาวแคนาดามีสิทธิ์เลือกตั้งราว 27.4 ล้านคน โดยมีผู้ออกมาใช้สิทธิ์ 66%
ถึงแม้นายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโดแห่งพรรคลิเบอรัลจะมีสิทธิตั้งรัฐบาลอีกครั้งหนึ่งเนื่องจากพรรคลิเบอรัลได้รับเลือกตั้งมากที่สุด แต่ก็มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพียง 156 คนจากจำนวน ส.ส.ทั้งหมด 338 คน คือไม่ถึงครึ่งหนึ่ง ย่อมไม่สามารถผ่านกฎหมายในสภาผู้แทนราษฎรได้เลย
>> "จัสติน ทรูโด" ผงาดนั่งนายกฯ แคนาดาสมัยที่สอง แม้ความนิยมดิ่ง คาดอาจตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย
ดังนั้น นายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด ต้องจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคพันธมิตรที่เป็นพรรคเล็กอย่างน้อย 1 พรรคเพื่อให้มีจำนวน ส.ส. เป็นเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งทางพรรคบล็อก เคเบกัวส์ ได้ประกาศอย่างเป็นทางการแล้วว่าจะไม่ร่วมกับฝ่ายใดจัดตั้งรัฐบาลเด็ดขาดเพราะนโยบายแยกประเทศของพรรคบล็อก เคเบกัวส์ ไม่สามารถจะเข้ากับพรรคใดได้เลยนั่นเอง
จึงเหลือแต่เพียงพรรคประชาธิปไตยใหม่ (เอ็นดีพี) ที่นายจักมีต ซิงห์ ชาวซิกข์ เป็นหัวหน้าพรรค
ครับ! แคนาดาคงเป็นประเทศตะวันตกที่พัฒนาแล้วประเทศแรกที่มีรองนายกรัฐมนตรีเป็นชาวซิกข์
จักมีต ซิงห์ วัย 38 ปี โพกผ้าเพื่อแสดงออกถึงพื้นเพและวัฒนธรรมที่เขาภาคภูมิใจ แต่เมื่อไม่นานมานี้ เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นนักการเมืองที่แต่งกายมีสไตล์ที่สุดในแคนาดา และยังเป็นผู้นำจากชนกลุ่มน้อย 2% ที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำพรรคการเมืองใหญ่ระดับชาติพรรคหนึ่งของประเทศแคนาดา
AFP
บิดามารดาของจักมีต ซิงห์ อพยพมาจากแคว้นปัญจาบ ประเทศอินเดีย มาอยู่ที่รัฐออนแทรีโอ ชีวิตในวัยเด็กของเขาไม่ได้ราบรื่นเท่าใดนัก เนื่องจากพ่อที่เป็นนายแพทย์นั้นทั้งติดเหล้าและติดหนี้ นอกจากนี้เขายังมีปัญหาเรื่องอัตลักษณ์ เนื่องจากเขาแต่งกายให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมชาวซิกข์ที่ไม่ตัดผมและโกนหนวดเครา ตลอดจนต้องใช้ผ้าโพกศีรษะทำให้เขาถูกนักเรียนด้วยกันรังแกเสมอ ทำให้จักมีต ซิงห์ไปเรียนเทควันโดตอนอายุได้ 10 ขวบ แต่เขาก็ต้องเจอปัญหาใหม่เมื่อเขาถูกครูฝึกล่วงละเมิดทางเพศ มันเป็นประสบการณ์ที่เขาเก็บงำมานานนับสิบๆ ปี ก่อนเผยในหนังสือ “Love and Courage” ที่เพิ่งวางแผงได้ไม่นาน และได้รับการชื่นชมอย่างมากมาย รวมถึงจากคู่แข่งทางการเมืองอย่าง จัสติน ทรูโด
ซิงห์เรียนจบด้านชีววิทยาก่อนเรียนต่อด้านกฎหมาย และมาเป็นทนายความคดีอาญา ด้วยความที่อาชีพของเขาผูกพันกับปัญหาสังคมอยู่แล้ว ประกอบกับประสบการณ์ส่วนตัวที่ถูกเลือกปฏิบัติอยู่บ่อยครั้ง เช่น การถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกสุ่มตรวจเป็นประจำ ทำให้เขารู้สึกถึงความไม่เป็นธรรมและความอยุติธรรมในสังคมแคนาดา จึงเป็นแรงขับเคลื่อนให้เขาหันมาเล่นการเมืองจนได้รับเลือกตั้งเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปไตยใหม่ในที่สุด