เผชิญภัยซ้ำสอง! สาวใหญ่สะดุ้งตื่นหนีแผ่นดินไหว ช็อกร้านตัวเองโดนปล้น

เผชิญภัยซ้ำสอง! สาวใหญ่สะดุ้งตื่นหนีแผ่นดินไหว ช็อกร้านตัวเองโดนปล้น

เผชิญภัยซ้ำสอง! สาวใหญ่สะดุ้งตื่นหนีแผ่นดินไหว ช็อกร้านตัวเองโดนปล้น
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

สาวใหญ่เจ้าของร้านสังฆภัณฑ์ เผชิญหน้าภัยซ้ำสองหน สะดุ้งตื่นหนีแผ่นดินไหว ลงมาเจอร้านตัวเองโดนบุกปล้น เงินหายไปนับหมื่นบาท

(21 พ.ย.) ร.ต.ท.หญิง วรรณภา พรมบัญชา รองสารวัตรสอบสวน สภ.เมืองอุดรธานี ได้รับแจ้งเหตุงัดร้านลานบุญสังฆภัณฑ์ ในเขตเทศบาลนครอุดรธานี จึงประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน เข้าตรวจสอบ ที่เกิดเหตุเป็นอาคารพาณิชย์ 2 ชั้น 3 คูหา เปิดเป็นร้านจำหน่ายเครื่องสังฆภัณฑ์ พบ น.ส.เจนจิรา อายุ 64 ปี เจ้าของร้าน พาตรวจที่บริเวณภายในร้าน

จากการตรวจสอบพบว่าคนร้ายได้งัดลิ้นชักโต๊ะ นำลิ้นชักออกมารื้อค้นทรัพย์สิน ซึ่งภายในมีเงินสดอยู่ประมาณ 15,000 บาท จากนั้นได้ไปตรวจสอบที่พบประตูหลังร้านถูกคนร้ายใช้ของแข็งงัดประตูเข้ามาภายในร้าน โดยกล้องวงจรปิดภายในร้านสามารถจับภาพคนร้ายไว้ได้ ก่อเหตุตอนเวลา 00.22 น.

เบื้องต้นพบว่า คนร้ายเป็นชาย รูปร่างผอม สูงประมาณ 160 เซนติเมตร สวมเสื้อคุมแขนยาวแบบมีหมวกคลุมศีรษะ นุ่งกางเกงขายาว ใช้ผ้าปิดบังใบหน้า เดินเข้ามาภายในร้าน ก่อนจะเข้ามารื้อคืนภายในร้าน โดยใช้เวลาก่อเหตุประมาณ 10 นาที ก่อนจะเดินออกไป

น.ส.เจนจิรา ให้การว่า ตนเปิดร้านขายเครื่องสุขภัณฑ์ที่นี่มานานแล้ว เมื่อวานนี้ได้ปิดร้านในช่วงหัวค่ำ ก่อนจะขึ้นไปนอนพักผ่อนตามปกติ จนกระทั่งช่วงเช้ามืด เวลาเกือบจะตี 5 ตนรู้สึกตัวและสะดุ้งตื่นขึ้นมา เพราะรู้สึกถึงแรงสั่นไหวของแผ่นดินไหว

หลังจากนั้นตนจึงรีบอาบน้ำและลงมาตรวจสอบสินค้าภายในร้าน แต่ก็ต้องตกใจ เมื่อพบว่าลิ้นชักโต๊ะถูกดึงออกมาวางไว้บนโต๊ะ ซึ่งภายในเงินสดในลิ้นชักที่เก็บไว้จ่ายค่าสินค้า หายไปจำนวน 15,000 บาท จึงรีบโทรศัพท์บอกหลานชายให้มาเปิดกล้องวงจรปิด และพบคนร้ายก่อเหตุตอนช่วงเที่ยงคืน

ร.ต.ท.หญิง วรรณภา พรมบัญชา รองสารวัตรสอบสวน สภ.เมืองอุดรธานี เปิดเผยว่า เบื้องต้นคาดว่าคนร้ายอาจจะคุ้นเคยหรือรู้ช่องทางเข้าออกของร้านเป็นอย่างดี เนื่องจากในขณะลงมือได้สวมเสื้อผ้าปิดบังมิดชิด เพื่อหลบกล้องวงจรปิด เข้ามาลักทรัพย์ภายในร้าน

ทั้งนี้ เจ้าของร้านยังเคยถูกคนร้ายงัดร้านลานบุญสังฆภัณฑ์สาขา 2 มาก่อนแล้ว เมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา คราวนั้นคนร้ายได้เงินไป 6,000 บาท ทางตำรวจจะได้ตรวจจะนำภาพวงจรปิดทั้ง 2 เหตุการณ์มาเปรียบเทียบกันว่าเป็นคนเดียวกันหรือไม่ และตรวจสอบกล้องวงจรปิดตามเส้นทางเพื่อหาเบาะแสติดตามคนร้ายดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook