ตำรวจฮ่องกงเปิดใจ หลังถูกปาดคอลึกถึงเส้นประสาท เสียงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ตำรวจปราบจลาจลฮ่องกงเปิดใจพร้อมภรรยา หลังเป็นเหยื่อโดนปาดคอยาว 5 เซนติเมตร แผลลึกถึงเส้นประสาท ทำให้เส้นเสียงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
อาหลี่ (นามสมมติ) คือตำรวจฮ่องกงที่ถูกผู้ก่อเหตุจลาจลรายหนึ่ง ที่ถูกปาดคอเมื่อเดือนตุลาคาที่ผ่านมา จนทำให้เสียงของเขาไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป และต้องเข้ารับการบำบัดการพูดในระยะยาว
ขณะที่ อาเหมย (นามสมมติ) ภรรยาของอาหลี่ให้สัมภาษณ์ว่า “ลูกๆ ของเราเกือบต้องสูญเสียพ่อไป ฉันไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทำไมเขา (ผู้ก่อการจลาจล) ถึงทำร้ายคนอื่นอย่างโหดเหี้ยมแบบนี้”
เมื่อวันที่ 13 ตุลาคมที่ผ่านมา อาหลี่ถูกผู้ก่อการจลาจลใช้คัตเตอร์แทงเข้าที่คอที่สถานีรถไฟเอ็มทีอาร์ (MTR) กวนถ่อง (Kwun Tong) ระหว่างปฏิบัติหน้าที่รายงานความเสียหายที่เกิดจากฝีมือกลุ่มชายชุดดำ คอด้านขวาของอาหลี่ถูกปาดเป็นแผลยาว 5 เซนติเมตร ลึกจนถึงหลอดเลือดดำและเส้นประสาทเวกัส (vagus nerve)
ในชั่วขณะที่ถูกแทง อาหลี่รู้แค่เพียงว่ามีเลือดไหลทะลักออกมา กระทั่งเห็นสายตาของเพื่อนร่วมงานจึงตระหนักว่าเขา “เจอเรื่องใหญ่” เสียแล้ว
อาหลี่ กล่าวว่า “ผมเห็นเลือดหยดลงพื้น เลือดไหลชโลมเสื้อคลุมผม ผมรู้ว่าผมได้รับบาดเจ็บ เลือดกำลังไหลออกมา ท่าทางของเพื่อนตำรวจทำให้ผมรู้ว่าผมได้รับบาดเจ็บหนัก แต่โชคดีที่ผมยังไม่หมดสติ”
“ก่อนจะถูกแทง ผมไม่เคยคิดว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะมีวันเกิดขึ้นในฮ่องกง ผมรู้สึกผิดต่อครอบครัวของผม ผมกลัวว่าลูกๆ จะถูกรังแกเพราะผม” อาหลี่กล่าว “นักศึกษาและเด็กมัธยมปลายบางคนเข้าร่วมการประท้วง พวกเขาเรียนรู้วิธีการที่รุนแรง ทำร้ายตำรวจและคนเดินถนน รวมถึงทำลายร้านค้า ผมสงสัยว่าระบบการศึกษาของฮ่องกงคงมีอะไรผิดพลาดไปกระมัง”
กองกำลังตำรวจฮ่องกง (Hong Kong Police Force) ระบุว่าตำรวจมากกว่า 480 รายได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์รุนแรงตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
กัวเจียจิ้น (Kwok Ka-chuen) หัวหน้าผู้กำกับการกองสารนิเทศตำรวจ (PPRB) ระบุว่า “การทำร้ายร่างกายไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ตำรวจเจ็บปวดมากที่สุด ทว่าเป็นการพูดจาว่าร้าย การเผยแพร่ข้อมูลส่วนตัวของสมาชิกในครอบครัว และการโจมตีอพาร์ตเมนท์ตำรวจต่างหากที่สร้างความเจ็บปวดให้ตำรวจที่สุด”
อาเหมยกล่าวว่า “ฉันถามสามีว่าพอเขารักษาตัวจนหายดีแล้ว จะกลับไปทำงานแนวหน้าอีกหรือเปล่า สามีฉันบอกว่าเขาคงทนนั่งอยู่เฉยๆ ไม่ได้ เขาอยากกลับไปทำงานแนวหน้ากับเพื่อนๆ ฉันเคารพการตัดสินใจของเขา”
อาหลี่กล่าวว่า “ตอนนั้นผมเดินอยู่รั้งท้าย (ขณะที่ถูกทำร้าย) เพราะผมต้องการดูให้แน่ใจว่าเพื่อนร่วมทีมของผมทุกคนออกจากพื้นที่อย่างปลอดภัย ผมจึงตกเป็นเป้า หากผมย้อนกลับไปตอนนั้นได้ ผมยังคงขอเป็นคนรับการทำร้ายร่างกายไว้เอง”