พ่อเลี้ยงเดี่ยวเล่าเรื่องราวสุดซึ้ง ภรรยาวัย 27 หยุดรักษามะเร็ง แลกกับชีวิตลูกในท้อง
![พ่อเลี้ยงเดี่ยวเล่าเรื่องราวสุดซึ้ง ภรรยาวัย 27 หยุดรักษามะเร็ง แลกกับชีวิตลูกในท้อง](http://s.isanook.com/ns/0/ud/1596/7984498/mom.jpg?ip/crop/w728h431/q80/jpg)
(9 ธ.ค.62) เจ้าของเฟซบุ๊ก Thanatat Tawron ซึ่งเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยว ได้โพสต์ภาพและข้อความลงในกลุ่ม HerKid รวมพลคนเห่อลูก เล่าเรื่องราวของภรรยา ที่ยอมเสียสละชีวิตตัวเอง เพื่อรักษาชีวิตของลูกสาวอยู่ในท้อง
ตนและภรรยาพบรักกันตั้งแต่ชั้น ม.3 คบหากันตั้งแต่นั้นมาจนเรียนจบปริญญาและได้แต่งงานกัน แต่ก่อนแต่งงานภรรยากลับพบว่ามีก้อนเนื้อที่หน้าอก ตอนแรกหมอตรวจบอกว่าเป็นแค่ก้อนซีสต์ธรรมดา แต่ก่อนกลับเริ่มใหญ่ขึ้นและแตกช้ำเป็นจ้ำสีม่วง เมื่อตัดสินใจเข้าตรวจอีกครั้งกับโรงพยาบาลอีกแห่ง จึงทำให้รู้ว่าภรรยาเป็นมะเร็งในกระแสเลือดชนิดร้ายแรง พบเพียงหนึ่งในล้าน
การผ่าตัดครั้งแรก ปี 2559 ผ่านไปด้วยดี เจนต้นปี 2560 ต้องผ่าครั้งที่ 2 ครั้งนี้ต้องตัดเต้านมทิ้ง มาปลายปี 60 หลังผ่าครั้งที่ 3 หมอตรวจร่างกายพบว่า "ได้ยินเสียงเต้นของหัวใจเด็ก" ทำให้ทั้งคู่รู้ตัวว่ากำลังจะมีลูกด้วยกัน ซึ่งอายุครรภ์ 2 เดือน แต่หมอถามว่าจะเก็บลูกไว้ หรือจะรักษาต่อ เพราะถ้ายังเก็บเด็กไว้จะไม่สามารถให้ยารักษามะเร็งได้ แต่ภรรยาเลือกที่จะเก็บลูกไว้ จนปี 61 ต้องผ่าตัดมะเร็งอีกครั้ง การผ่าตัดเป็นไปด้วยดี ภรรยาและลูกในครรภ์ 7 เดือน ปลอดภัย
ทั้งนี้ ถึงกำหนดคลอด กลับพบว่ามะเร็งโผล่มาอีกครั้ง ครั้งนี้ยังไม่สามารถทำอะไรได้เพราะต้องคลอดลูกก่อน ในที่สุด "น้องขนม" ลูกสาวตัวน้อยก็ลืมตาดูโลก แต่ 2 วันต่อมาลูกตัวเหลืองและหายใจเร็ว หัวใจมีรอยรั่วและท่อที่ต่อผ่านหัวใจก็ปิดเองไม่ได้ ต้องทำการผ่าตัด ซึ่งภรรยาได้กลับมาพักฟื้นที่บ้าน แต่ก็เหมือนไม่ได้พักฟื้นเพราะคอยไปเยี่ยมลูกทุกวัน แม้ตอนที่ตัวเองต้องรักษามะเร็งด้วยการฉายแสงอีกครั้ง ฉายแสงเสร็จก็ไปเยี่ยมลูก จนลูกแข็งแรงและสามารถกลับมาอยู่บ้านได้ พยาบาลต่างชมว่าลูกสาวนั้นฟื้นตัวเร็วมากหลังผ่าตัด เพราะมีหัวใจเป็นนักสู้เหมือนแม่
ครอบครัว 3 คน พ่อแม่ลูกอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข จนถึงเวลาต้องรักษามะเร็งอย่างเต็มรูปแบบด้วยการฉายแสงและให้คีโม มาหาหมอตามนัดตลอดและต่อด้วยการให้คีโม ซึ่งเป็นยาเคมีที่แรงและทำลายเซลล์ทุกอย่างในร่างกาย ภรรยาใช้เวลารักษาและอยู่ดูแลลูกสาวตลอดระยะเวลา 3 เดือนที่ลาคลอด หลังจากนั้นก็กลับไปทำงานตามปกติ แต่ก็ต้องลาไปหาหมอตามที่นัดทุกอาทิตย์ ทุกครั้งที่พบหมอ หมอจะบอกกับภรรยาตลอดว่าก้อนมะเร็งที่ตับโตขึ้นเรื่อยๆ อาจจะทำให้ท้องโตขึ้นตามด้วย จากนั้นก็รักษาคีโมมาเรื่อยจนก้อนที่ตับปริแตก ทำให้เลือดออกและต้องเข้าโรงพยาบาลอีกครั้ง หมอทำการยิงรังสีเพื่ออุดรอยแตกไว้ จนอาการดีขึ้นและได้กลับบ้าน หลังจากนั้นต้องเปลี่ยนการรักษาจากให้คีโมเปลี่ยนมาให้เลือดแทน เพราะจะทำให้ทรุด
หมอบอกว่าตามจริงภรรยาจะอยู่ได้แค่หลักเดือนเท่านั้น แต่เพราะมีลูกเป็นกำลังใจ จนอยู่เลี้ยงมาได้ถึงลูกอายุ 1 ขวบ 5 เดือน และแล้วเรื่องที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นก็มาถึง วันที่ 14 พฤศจิกายน 2562 ภรรยาอาการทรุดหนัก ตอบสนองได้แค่พูดคำว่า อือ วันนั้นศิลปินวง Klear มาเยี่ยม เพราะเป็นวงที่ภรรยาชื่นชอบ ก่อนที่ภรรยาจะจากไปในช่วงเย็นวันดังกล่าว
"เราอยู่ในห้องนั้นทั้งวันจนเวลา 18.44 น. ช่วงเวลาแห่งการสูญเสียก็มาถึง ผมนั่งอยู่ข้างเตียงจับมือเขาไว้แน่นมาก ผมนั่งดูชีพจรของภรรยาผมค่อย ๆ เต้นช้าลงช้าลงจนหยุดหายใจ เสียงคนร้องไห้ดังระงมทั่วห้อง วินาทีนั้นความเสียใจของผมพุ่งออกมากลายเป็นน้ำตา ผมลุกออกมาจากห้องนั้น ผมนั่งร้องไห้ตรงทางเข้าห้อง ผมปล่อยทุกอย่างออกมาทางน้ำตา ในหัวตอนนั้นผมคิดแต่ว่าทำไมเรื่องแบบนี้ต้องมาเกิดกับคนที่ผมรักด้วย ครอบครัวผมกำลังสร้างทุกอย่าง เรากำลังเดินทางไปด้วยกัน ผมใช้เวลาอยู่ตรงนั้นประมาณ 10 นาที ผมเริ่มตั้งสติ การที่เขาจากไปแบบไม่เจ็บไม่ทรมานมันคงดีแล้ว เขาเหนื่อยมาทั้งชีวิตแล้ว เหนื่อยมาตลอด 4 ปีที่รักษา ถึงเวลาที่เขาจะต้องพักแล้ว ผมให้คำมั่นสัญญากับเขาไว้ว่าจะดูแลสิ่งที่เขารักมากที่สุดเท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะทำได้"
หลังเรื่องราวถูกเผยแพร่ออกไป ก็มีผู้คนในโลกออนไลน์เข้ามาแสดงความคิดเห็น นับถือหัวใจที่ยิ่งใหญ่ของคนเป็นแม่ ที่เสียสละได้แม้แต่ชีวิตเพื่อลูก และให้กำลังใจเจ้าของโพสต์ที่ต้องสูญเสียภรรยาอันเป็นที่รักไปเป็นจำนวนมาก