10 ดราม่า สะเทือนวงการ ย้อนรอยข่าวฉาวที่สุดแห่งปี 2019

10 ดราม่า สะเทือนวงการ ย้อนรอยข่าวฉาวที่สุดแห่งปี 2019

10 ดราม่า สะเทือนวงการ ย้อนรอยข่าวฉาวที่สุดแห่งปี 2019
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

กลายเป็นเรื่องปกติไปซะแล้ว สำหรับ ดราม่า กับ คนบันเทิง เพราะไม่ว่าเวลาจะผ่านไปสักกี่ปีเราก็มักจะได้เห็นได้ยินเรื่องราวลักษณะนี้ถูกตีแผ่ผ่านสื่ออยู่ตลอด บ้างก็เป็นเรื่องใหม่พล็อตเดิม บ้างก็เป็นเรื่องเก่าที่เปลี่ยนแค่ตัวละคร แต่ทั้งหมดทั้งมวลแล้วต่างก็มีคำนิยามสั้นๆ เหมือนกันว่า "ดราม่า"

โดยในปี 2019 ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งปีที่วงการบันเทิงมีเรื่องร้อนใจให้ซุปตาร์จากหลากหลายวงการต้องออกมาตั้งโต๊ะเคลียร์กันแบบไม่ขาดสาย ซึ่ง ดราม่า ของซุปตาร์แต่ละคนจะตรึงใจจนลืม(แทบ)ไม่ลงขนาดไหนนั้น วันนี้ Sanook จะพาทุกคนไปย้อนรอยพร้อมๆ กัน

ต่าย มนัสนันท์ ปานดี

ต่าย-มนัสนันท์ ปานดี

อดีตนักแสดง และนางเอกมิวสิควีดีโอดาวรุ่ง วัย 33 ปี ถูกพบโดยบังเอิญในสภาพที่ดูยังไงก็แทบจะไม่เหลือเค้าโครงเดิมของคนที่เคยเป็นดารา ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า หน้าผม รูปร่าง ไปจนถึงชีวิตความเป็นอยู่ อีกทั้งก่อนหน้านี้เมื่อช่วงปี 2561 เธอยังเคยตกเป็นข่าวดังขึ้นหน้าหนึ่ง จากเหตุการณ์ลักทรัพย์ซึ่งเป็นเหตุให้ต้องติดคุกอยู่นานถึง 2 เดือน กระทั่งภายหลังสืบทราบว่าสาเหตุที่อดีตนักแสดงดาวรุ่งต้องมีชีวิตพลิกผันเช่นนี้ ทั้งหมดก็เป็นเพราะผลพวงของยาเสพติด ที่เธอยอมรับว่าเป็นความผิดพลาดของตัวเองที่คิดอยากลองทำตามคำชักชวนของเพื่อน จนท้ายที่สุดจึงมีอาการป่วยอย่างที่ปรากฏให้เห็น

ปัจจุบันนี้ถึงแม้อาการป่วยของ ต่าย มนันสนันท์ จะยังไม่หายดีเป็นปกติ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่หลายๆ อย่างก็ดีขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากเธอได้รับการดูแลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างต่อเนื่อง ส่วนเรื่องรายได้ที่นำมาใช้จ่ายจุนเจือครอบครัวของเธอนั้น โดยส่วนใหญ่จะมาจากการขายของเก่า ซึ่งตัวเธอเองมีความตั้งใจว่าอยากหายจากอาการป่วยในเร็ววัน และถ้าหากเป็นไปได้ก็อยากจะขอโอกาสจากผู้ใหญ่เพื่อที่จะได้กลับมารับงานในวงการบันเทิงอีกครั้งหนึ่ง

ออฟฟี่ แม็กซิม

ออฟฟี่-อรพรรณ ด่านศิริวัฒนกุล หรือ ออฟฟี่ แม็กซิม

ราชินีเน็ตไอดอลเมืองไทย ที่ไม่ว่าใครต่างก็ต้องเรียกเธอว่า "แม่" ถูกโค่นอาณาจักรอย่างเป็นทางการในปี 2019 หลังเพื่อนพ้องคนโซเชียลฯ พร้อมใจกันออกมาไลฟ์สดแฉลากไส้ถึงพฤติกรรมหลังกล้องที่เคยถูกเจ้าตัวทำไว้ ไม่เว้นแม้กระทั่ง ขนเพชร บ้าจี้ เน็ตไอดอลคนดัง ที่เจ้าตัวดูแลเปรียบเสมือนลูกในไส้ก็ยังออกมาไลฟ์สดแฉแหลก "ปมค่าตัว" จนกลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์อยู่นานหลายสัปดาห์

ซึ่งประเด็นเดือดที่ทำให้สังคมคาใจมากที่สุด ก็คือกรณีการเปิดรับบริจาคเงินในการซื้อเครื่องช่วยหายใจให้กับ น้องวันใหม่ หนูน้อยที่ป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง จึงทำให้ไม่สามารถดูแลตัวเองได้ แต่ทว่าบัญชีที่เปิดรับบริจาคนั้นกลับเป็นบัญชีส่วนตัวของ ออฟฟี่ แม็กซิม และเมื่อระยะเวลาผ่านไปนานเข้า ทางครอบครัวของ น้องวันใหม่ ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะได้รับเงินบริจาคก้อนนี้เลยแม้แต่สลึงแดงเดียว

โดยภายหลังถึงแม้ ออฟฟี่ แม็กซิม จะออกมาชี้แจงว่าเธอเป็นฝ่ายผิดเองที่นิ่งนอนใจเรื่องเงินบริจาค พร้อมกับนำเงินที่ได้ซึ่งมีจำนวนสูงถึง 210,000 บาท โอนเข้าบัญชีของ คุณแม่น้องวันใหม่ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับปฏิเสธที่จะรับเงินก้อนดังกล่าว และโอนคืนกลับให้แบบเต็มจำนวนในทันที ด้วยเหตุผลที่ว่า ลูกสาวของเธอไม่ใช่เครื่องมือในการสร้างภาพ

จากนั้น ออฟฟี่ แม็กซิม ก็ได้ออกมากล่าวคำขอโทษอีกครั้งถึงเหตุการณ์นี้ผ่านรายการโทรทัศน์ชื่อดัง พร้อมกับเผยว่า หลังจากที่คุณแม่น้องวันใหม่โอนเงินคืนมา เธอก็ได้นำเงินก้อนดังกล่าวไปบริจาคให้กับ โครงการกองทุนจัดซื้ออุปกรณ์การแพทย์ประจำรถพยาบาล มูลนิธิเพชรเกษม ทั้งหมด อีกทั้งยังฝากคำขอโทษไปยังเพื่อนพ้องเน็ตไอดอลที่เคยทำให้เจ็บช้ำทุกคน เว้นก็แต่ ขนเพชร บ้าจี้ ที่เธอยอมรับว่า การที่อีกฝ่ายออกมาไลฟ์สดแฉเธอนั้น ทำให้เธอรู้สึกเจ็บมากที่สุด

ปู ไปรยา ลุนด์เบิร์ก

ปู-ไปรยา ลุนด์เบิร์ก

เริ่มต้นอย่างรวดเร็ว และจบลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างซุปเปอร์สตาร์สาว ปู-ไปรยา ลุนด์เบิร์ก และสองดีเจชื่อดัง ต้นหอม-ศกุนตลา เทียนไพโรจน์ กับ มะตูม-เตชินท์ พลอยเพชร หลังจากที่ได้มีโอกาสทำธุรกิจอาหารเสริมร่วมกันภายใต้แบรนด์ Praya by LB Slim

ซึ่งจุดเริ่มต้นของเกาเหลารสแซ่บครั้งนี้ เกิดขึ้นจากปัญหาภายในบริษัทที่ก่อตัวมาได้สักพักใหญ่ ก่อนที่เรื่องราวจะเริ่มบานปลายใหญ่โต เมื่อ ปู ไปรยา ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนถึงการยุติบทบาทหน้าที่ของเธอในฐานะผู้มีส่วนร่วมกับแบรนด์ และแสดงความเป็นห่วงต่อตัวแทนจำหน่าย อีกทั้งเธอยังบอกด้วยว่าแท้จริงแล้วความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับดีเจชื่อดังทั้งสองนั้น "ไม่ได้เป็นเพื่อนกันตั้งแต่ต้น"

กระทั่งภายหลังทางด้านของ ดีเจต้นหอม และ ดีเจมะตูม ก็ได้ออกมาชี้แจงรายละเอียดด้านการบริหารงาน รวมถึงการทำงานร่วมกับ ปู ไปรยา ผ่านสื่อ พร้อมกับอธิบายความหมายของคำว่า "บอส" ที่หลายคนคาใจ ซึ่งในส่วนของความสัมพันธ์กับ ปู ไปรยา นั้น ดีเจมะตูมก็ได้ออกมาพูดอย่างชัดเจนเช่นกันว่า "ถ้าไม่อยากสนิท เราก็ไม่ได้อยากจะไปสนิทกับเขา"

แม้ตอนนี้เรื่องราวที่เป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์อาหารเสริมและการทำธุรกิจร่วมกันจะยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัดออกมาให้แฟนๆ ได้ทราบ เนื่องจากอยู่ในกระบวนการทางกฎหมาย แต่ที่แน่ๆ ความสัมพันธ์ในฐานะคนวงการเดียวกันระหว่าง ปู ไปรยา, ดีต้นหอม และ ดีเจมะตูม ณ เวลานี้ คงได้ข้อสรุปชัดเจนแล้วว่า ไม่มีคำว่าเหมือนเดิมอย่างแน่นอน

ธีร์ ภูมิธนะวัชร์ บุญลือประดิษฐ์

ธีร์-ภูมิธนะวัชร์ บุญลือประดิษฐ์

เรื่องราวของ ธีร์-ภูมิธนะวัชร์ บุญลือประดิษฐ์ อดีตนักแสดงหนุ่ม ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องดราม่าที่ชาวโซเชียลจับตามองและให้ความสนใจมากที่สุดใน ปี 2019 เลยก็ว่าได้

โดยเหตุการณ์ทั้งหมดมีจุดเริ่มต้นมาจาก คลิปวีดีโอของ ธีร์ ภูมิธนะวัชร์ ที่ถูกแชร์ต่อกันในโลกออนไลน์ ในสภาพที่ดูยังไงก็แทบจะไม่เหลือเค้าโครงเดิมของคนที่เคยเป็นนักแสดง อีกทั้งในคลิปดังกล่าวเจ้าตัวยังแสดงอาการโอดโอย ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบน้ำตา พร้อมกับตัดพ้อถึงชีวิตตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า ขาดทุนทรัพย์ในการรักษาตัว ซึ่งเมื่อสืบทราบภายหลังถึงพบว่า ขณะนี้เจ้าตัวกำลังป่วยเป็นโรควัณโรคทับตับและต่อมน้ำเหลือง จึงทำให้ประชาชนที่ได้ชมคลิปรู้สึกหดหู่และเห็นใจ โอนเงินช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลเป็นจำนวนมาก

ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อเงินบริจาคจำนวนมหาศาลถูกโอนเข้าไปอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความสงสัยของชาวโซเชียลที่จับสังเกตถึงชีวิตการเป็นอยู่ที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมในตอนแรก ทั้งบ้านหรูหลังใหม่ รถที่ถูกจอดไว้หน้าบ้าน แถมยังมีการขุดบ่อปลาคาร์ฟบริเวณบ้าน จึงทำให้มีคำถามต่างๆ เกิดขึ้นตามมา โดยเฉพาะเรื่องของจำนวนเงินที่คาใจใครหลายคนว่า มีจำนวนสูงถึง 8 ล้านบาทจริงหรือเปล่า หรือมีเพียงแค่ 5 หมื่นบาท ตามที่เจ้าตัวได้ชี้แจงไว้ และตอนนี้เงินทั้งหมดอยู่ที่ไหน รวมไปถึงทำไมนักแสดงหนุ่มถึงยังไม่หยุดไลฟ์สดเรี่ยไรเงินผ่านโลกโซเชียล

ในที่สุดเมื่อสังคมต้องการคำตอบที่ชัดเจนจากปากของ ธีร์ ภูมิธนะวัชร์ เจ้าตัวจึงต้องออกมาแถลงข่าวชี้แจงทุกข้อสงสัย โดยวินาทีแรกที่เริ่มแถลงข่าว ธีร์ ภูมิธนะวัชร์ ยอมรับว่า ได้รับเงินบริจาคเป็นจำนวนกว่า 8 ล้านบาทจริง แต่สาเหตุที่ไม่สามารถบอกความจริงได้ในตอนแรก ก็เป็นเพราะเกรงว่าเงินทั้งหมดจะถูกอายัด เนื่องจากตนเป็นหนี้บัตรเครดิต และอาจทำให้ไม่มีเหลือเก็บไว้ใช้จ่ายสำหรับดูแลแม่ที่กำลังป่วย

ในขณะที่บ้านหรูหลังใหม่ และรถคันงาม กับบ่อปลาคาร์ฟ ธีร์ ภูมิธนะวัชร์ ชี้แจงว่า บ้านหลังดังกล่าวเป็นเพียงบ้านเช่าที่เช่าต่อจากแฟนหนุ่ม ในราคา 2,000 บาทต่อเดือน และรถที่เห็นก็เป็นรถของคนอื่น รวมไปถึงบ่อปลาคาร์ฟก็เช่นเดียวกัน ซึ่งทั้งหมดก็ไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับเงินบริจาคทั้งสิ้น ส่วนทางด้านเงินบริจาค ณ ขณะนั้น ธีร์ ภูมิธนะวัชร์ ระบุว่า ได้ฝากไว้กับแฟนเป็นจำนวนกว่า 6,400,000 บาท และเก็บไว้กับตัวเองเพียงแค่ 150,000 บาท เท่านั้น เนื่องจากยังคงกังวลเรื่องการถูกอายัด แต่หลังจากแถลงข่าวเสร็จเจ้าตัวก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะนำเงินทั้งหมดโอนเข้าบัญชีของคุณแม่ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ และเพื่อความสบายใจของตนเอง

นาง ศิริพร อำไพพงษ์

นาง-ศิริพร อำไพพงษ์

เปลี่ยนความสัมพันธ์จากเดิมที่เปรียบเสมือนคนในครอบครัว ให้กลายเป็นเพียงแค่คนเคยรู้จักภายในชั่วข้ามคืน เมื่ออยู่ดีๆ ศิลปินลูกทุ่งหมอลำรุ่นใหญ่ นาง-ศิริพร อำไพพงษ์ ก็ออกมาโพสต์ข้อความแจ้งข่าวกับแฟนๆ ผ่านทางเฟซบุ๊ก ถึงธุรกิจคลินิกเสริมความงามที่ทำร่วมกันกับลูกสาวบุญธรรม น้องอร อรนภา ด้วยข้อความที่เป็นชนวนเหตุแห่งดราม่าครั้งนี้ว่า "พรนิต้าคลินิก ปิดให้บริการถาวรแล้วนะคะ อย่าหลงไปทำ ทุกอย่างมีกฏหมาย หยุดเอาชื่อพี่นางไปแอบอ้างได้แล้วนะคะ"

ซึ่งเดิมทีจากที่ในตอนแรกประเด็นหลักของโพสต์ดังกล่าวน่าจะเป็นการประกาศยุติกิจการคลินิกเสริมความงาม แต่กลับกลายเป็นว่าสิ่งที่ชาวเน็ตให้ความสนใจ และอยากรู้มากกว่านั่นก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่าง น้องอร และ โก้ ธนชาติ ผู้เป็นพ่อบุญธรรม เนื่องจากในช่วงเวลาเดียวกันนั้นได้มีข่าวลือว่าทั้งคู่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งเกินเลยไปกว่าที่เห็น อีกทั้งยังมีภาพถ่ายในหลายๆ โมเมนต์ของทั้งคู่ถูกปล่อยออกมา เหมือนเป็นการตอกย้ำกระแสข่าวดังกล่าวให้ลุกลามยิ่งกว่าที่เป็นอยู่

กระทั่งภายหลังทางด้านของ น้องอร อดีตลูกสาวบุญธรรมที่ตกเป็นข่าวฉาวได้มีโอกาสออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงจากฝั่งตัวเองผ่านรายการโทรทัศน์ชื่อดัง ซึ่งเธอยืนยันชัดเจนว่า ไม่ได้มีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวใดๆ ทั้งสิ้นกับ โก้ ธนชาติ ผู้เป็นพ่อบุญธรรม จะมีก็แต่การดูแลสุขภาพให้กันเท่านั้น เนื่องจาก โก้ ธนชาติ กำลังป่วยด้วยโรคมะเร็งลำไส้ ระยะที่ 4 ซึ่งเรื่องนี้ยังเป็นเหตุผลที่สามารถยืนความบริสุทธิ์ใจได้อย่างชัดเจนว่า เรื่องราวฉาวโฉ่ดังกล่าวไม่มีทางเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน

พร้อมกันนั้น น้องอร ยังเล่าต่อว่า เรื่องราวทั้งหมดที่เธอมองว่าเกิดขึ้นจากความเข้าใจผิดนั้น มีสาเหตุหลักมาจากบุคคลที่ 3 ที่เข้ามาทำการตีสนิท ศิริพร อำไพพงษ์ โดยการใช้คำพูดยุยงให้คนในบ้านแตกคอกัน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ความสัมพันธ์ของทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นปกติมานานนับ 10 ปี โดยที่ไม่เคยมีปัญหาใดๆ

ซึ่งหลังจากที่ น้องอร ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ชี้แจงข้อเท็จจริงจากฝั่งตัวเองได้ไม่นาน ทางด้านของ ศิริพร อำไพพงษ์ ก็ได้ออกมาพูดถึงเหตุการณ์ทั้งหมดจากฝั่งของเธอบ้าง โดยเธอเผยว่ารู้สึกเจ็บปวดมากกับสิ่งที่เกิดขึ้น และที่สำคัญคือเธออยากจะบอกว่าอย่าทำให้เธอต้องพูด เพราะถ้าหากพูดก็พร้อมจะเปิดทุกอย่างหมดเปลือกเช่นกัน เนื่องจากมีความจริงเก็บไว้ในอก และเธอเองก็อยากให้อีกฝ่ายหยุดได้แล้ว

ส่วนสาเหตุที่ทำให้ที่ผ่านมาเธอต้องยอมเงียบและไม่พูดอะไร ก็เป็นเพราะคิดว่าต้องอดทน แต่ถึงอย่างนั้นความทนของคนก็มีขีดจำกัด จึงทำให้วันนี้เธอตัดสินใจเดินออกมาเอง เพียงแค่ไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงไม่พูดให้หมดว่าแท้จริงแล้วมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นกันแน่

ในขณะที่ประเด็นชู้สาว ศิริพร อำไพพงษ์ ย้ำชัดเจนว่าไม่อยากให้ออกมาจากปากเธอเช่นกัน เนื่องจากบุคคลทั้งสองที่ตกเป็นข่าวย่อมรู้ดีที่สุด ก่อนจะถามซ้ำๆ กับตัวเองว่าเป็นการปิดฉากดราม่าว่า "ศิริพรโง่เหรอ? ทำอะไรกับศิริพรเอาไว้มันหนัก แต่ที่ทนก็เพราะรักเพราะเลือกเอง"

ป๊อบ ปองกูล สืบซึ้ง

ป๊อบ-ปองกูล สืบซึ้ง

คำว่า "โลก 2 ใบ" กลายเป็นคำฮิตที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในโลกออนไลน์ และหลังจากนั้นไม่นาน คำนี้ก็ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายจนกลายเป็นคำศัพท์ใหม่ที่ใช้อธิบายถึง "ความสัมพันธ์คบซ้อน" ของคนที่เรียกกันว่า "คู่รัก"

จุดเริ่มต้นของคำว่า "โลก 2 ใบ" นั้น สืบเนื่องมาจากเรื่องราว "ความรัก" ที่เป็น "ความลับ" ของนักร้องหนุ่มอารมณ์ดี ป๊อบ-ปองกูล สืบซึ้ง หลังภาพถ่ายบรรยากาศงานมงคลสมรสระหว่างเจ้าตัวกับ อาจารย์ปลา แฟนสาวนอกวงการที่คบหาดูใจกันมานานนับ 10 ปี ถูกแชร์ต่อกันในโลกออนไลน์

ซึ่งแทนที่ฟีดแบคจากแฟนๆ ที่ได้เห็นภาพจะเป็นการเข้ามาร่วมแสดงความยินดีกับวันสำคัญของทั้งคู่ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นกลับตรงกันข้าม เมื่อ โบว์ สาวสวยอีกคนที่มีสถานะเป็น "แฟน" ของนักร้องหนุ่ม ซึ่งคบหาดูใจกันมานานกว่า 10 ปี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวของเธอถึงภาพการแต่งงานของ ป๊อบ ปองกูล ในทำนองว่า "อย่าส่งมาถามอะไรโบว์ตอนนี้เลย โบว์คงไม่ได้ตอบ เพราะโบว์เองก็รู้พร้อมทุกคนเหมือนกัน" และจากนั้นไม่นานเรื่องนี้ก็กลายเป็นที่จับตามองของสังคมว่า แท้จริงแล้วความสัมพันธ์ระหว่าง ป๊อบ ปองกูล กับ ปลา และ โบว์ คืออะไรกันแน่!?

ในขณะที่กระแสโซเชียลเริ่มร้อนแรง และชาวเน็ตต่างพากันรอคำตอบที่ชัดเจนจากนักร้องหนุ่ม ระหว่างนั้นก็มีข่าวลือจริงบ้างไม่จริงบ้างถูกปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกันกับเพื่อนพ้องคนสนิทของ ป๊อบ ปองกูล ต่างก็โดนโจมตีจากเหตุการณ์นี้ไปด้วยเช่นกัน

กระทั่งท้ายที่สุด ทางด้านของ ป๊อบ ปองกูล ก็ได้ออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวเพื่อชี้แจงรายละเอียดทุกเรื่องที่หลายฝ่ายสงสัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าตัวกับผู้หญิงทั้ง 2 คน ซึ่ง ป๊อบ ปองกูล ยอมรับว่า ทั้งหมดเป็นความผิดของตนเองที่ขี้ขลาด และปล่อยให้คำโกหกครั้งนี้ต้องมาทำร้ายคนที่ตัวเองรัก

ซึ่งที่ผ่านมาตนรู้สึกรังเกียจตัวเองมาตลอดที่เป็นคนแบบนี้ และต้องขอโทษด้วยสำหรับทุกอย่าง ขอโทษสำหรับตลอดระยะเวลากว่า 10 ปี ที่ไม่ทำทุกอย่างให้ถูกต้อง รวมไปถึงการที่ตนสร้างโลกขึ้นมา 2 ใบขึ้นมา โดยที่คนรักทั้งสองไม่เคยรับรู้

เจ้าขุน จักรภัทร วรรธนะสิน

เจ้าขุน-จักรภัทร วรรธนะสิน

มีประเด็นดราม่าให้พูดถึงอยู่แทบจะทุกปี สำหรับสมาชิกครอบครัววรรธนะสิน ครอบครัวของราชาเพลงแดนซ์ เจ เจตริน และภรรยาสาวสุดที่รัก ปิ่น เก็จมณี กับลูกชายทั้ง 3 เจ้านาย, เจ้าขุน และ เจ้าสมุทร

ซึ่งประเด็นดราม่าที่โด่งดังที่สุดของครอบครัววรรธนะสินในปีนี้ คงหนีไม่พ้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนสังเวียน 10 Fight 10 หรือศึกดวลกำปั้นคนบันเทิง ระหว่างนักแสดงหนุ่ม แบงค์ ธิติ วัย 22 ปี และ เจ้าขุน จักรภัทร ลูกชายคนรองบ้านวรรธนะสิน วัย 16 ปี ซึ่งเป็นคู่ชกคู่สุดท้ายก่อนที่จะทำการปิดซีซั่นแรก

โดยเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อกรรมการได้ทำการตัดสิน ให้ แบงค์ ธิติ ชนะน็อก ในยกที่ 2 หลังจากที่ทั้งสองหนุ่มเปิดศึกแลกหมัดได้เพียงไม่นาน ซึ่งในจังหวะเดียวกันนั้น เจ้าขุน จักรภัทร ก็ได้ทำการชูนิ้วกลางหันไปหาคนดูที่มานั่งชมการชกอยู่ข้างเวทีมวย อีกทั้งยังแย่งไมค์โครโฟนจากมือของ กันต์ กันตถาวร ผู้ดำเนินรายการ ไปอย่างหน้าตาเฉย ท่ามกลางความมึนงงของผู้ชมว่าเกิดอะไรขึ้นกับ เจ้าขุน จักรภัทร กันแน่

กระทั่งในคืนเดียวกันนั้น ชื่อของ เจ้าขุน จักรภัทร ก็ถูกติดแฮชแท็ก และผงาดขึ้นเทรนด์อันดับ 1 ภายในระยะเวลาเพียงไม่นาน ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตามมานั่นก็คือ เสียงวิจารณ์จากคนดูที่ติดตามรายการ 10 Fight 10 ที่ออกมาแสดงความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า สิ่งที่ เจ้าขุน จักรภัทร ทำนั้น คือสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ทั้งในแง่ของพฤติกรรมและการแสดงออก แถมยังมีการโยงไปถึงกรณีที่ เจ เจตริน ซึ่งเป็นทั้งพ่อและผู้จัดรายการ นำเอาเข็มขัดผู้ชนะอีกเส้นมามอบให้กับลูกชายบนเวที

ซึ่งหลังจากที่เรื่องราวดราม่าดังกล่าวเริ่มลุกลามใหญ่โต ก็มีทั้งคนสนิทและคนใกล้ชิด รวมถึงผู้ที่อยู่ร่วมในประเด็นดราม่าครั้งนี้ ออกมาโพสต์ข้อความและให้สัมภาษณ์ชี้แจงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในทำนองว่า ไม่ได้มีใครรู้สึกติดใจอะไรใดๆ ทั้งสิ้น และคิดว่าตัวหนุ่มเจ้าขุนเองคงได้รับบทเรียนแล้ว

ในขณะที่ตัวของ เจ้าขุน จักรภัท ก็ได้ออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ทำลงไปเช่นเดียวกัน ด้วยการโพสต์ข้อความน้อบรับความผิดผ่านทางอินสตาแกรม พร้อมกับกล่าวคำขอโทษต่อทุกๆ คนที่ทำให้รู้สึกไม่สบายใจ ก่อนจะมอบสัญญาเป็นการทิ้งท้ายว่าจะปรับปรุงตัวเองให้ดีกว่านี้ในอนาคต

ชิงชิง คริษฐา สังสะโอภาส

ชิงชิง-คริษฐา สังสะโอภาส

กลายเป็นที่รู้จักภายในชั่วข้ามคืน สำหรับชื่อของ ชิงชิง-คริษฐา สังสะโอภาส นักแสดงสาวหน้าใส หลังเจ้าตัวตกเป็นข่าวฉาวในประเด็นที่ถูกชาวเน็ตโยงว่า อาจจะเป็นมือที่ 3 ที่เข้ามาแทรกกลางความสัมพันธ์ของคู่รักข้ามช่อง เวียร์-ศุกลวัฒน์ คณารศ และ เบลล่า-ราณี แคมเปน

ซึ่งจุดเริ่มต้นของดราม่าครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากเพจเมาท์ดาราชื่อดัง ปล่อยข่าวอักษรย่อออกมาในทำนองว่า พระเอกเบอร์ต้นซึ่งเป็นแฟนของนางเอกชื่อดัง ถูกจับโป๊ะกำลังแอบคบนักแสดงสาวรุ่นน้องร่วมช่อง จนทำให้กลายเป็นที่สนอกสนใจของชาวเน็ต และในระหว่างนั้นเองก็มีคู่รักคนบันเทิงถูกจับโยงเข้ามาร่วมวงดราม่าอยู่หลายคู่ แต่คู่ที่ถูกพูดถึงมากที่สุดก็คือคู่ของ เวียร์ ศุกลวัฒน์ และ เบลล่า ราณี กับนางเอกน้องใหม่ ชิงชิง คริษฐา

โดยเหตุผลหลักที่ทำให้ ชิงชิง คริษฐา ตกเป็นเป้าในประเด็นอักษรย่อดังกล่าวก็เป็นเพราะ หลายๆ ภาพที่เจ้าตัวโพสต์ลงบนอินสตาแกรม และแคปชั่นที่เขียนบรรยาย รวมไปถึงคลิปวีดีโอจากอินสตาแกรมสตอรี่ ล้วนแล้วแต่มีความเชื่อมโยงไปยังหนุ่ม เวียร์ ศุกลวัฒน์ ซึ่งเปรียบเสมือนพี่ชายคนสนิท เนื่องจากสาวชิงชิงกับหนุ่มเวียร์ และแก๊งพี่ๆ อีกหลายคนในช่องเคยมีโอกาสได้ร่วมทริปเที่ยวต่างจังหวัดด้วยกัน จึงทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่กลายเป็นที่จับตามองในเวลานั้น

ซึ่งภายหลังทางด้านของ ชิงชิง คริษฐา ก็ได้ออกมาเคลียร์ประเด็นดราม่าดังกล่าว โดยเธอยืนยันว่าสถานะระหว่างเธอกับหนุ่มเวียร์เป็นเพียงแค่พี่น้องกันเท่านั้น อีกทั้งตัวเธอเองก็ยังเคยเจอกับนางเอกรุ่นพี่อย่าง เบลล่า ราณี มาแล้วด้วย

จากที่ดราม่าเรื่องนี้น่าจะเดินทางมาถึงตอนจบ กลับกลายเป็นว่าทั้งหมดเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น เมื่อนางเอกซุปตาร์ เบลล่า ราณี ออกมาให้สัมภาษณ์แบบหนังคนละม้วนว่า ไม่เคยเจอ ไม่เคยพบ และไม่เคยคุยกับสาวชิงชิงมาก่อน พร้อมกับทิ้งท้ายเอาไว้ด้วยว่า "แต่ละคนน่าจะต้องรู้ว่าตัวเอง ควรหรือไม่ควรจะทำอะไร" ซึ่งนั่นเองที่เป็นเหตุผลให้ชื่อของ ชิงชิง คริษฐา ถูกนำกลับมาพูดถึงอีกครั้ง แถมครั้งนี้เธอก็ยังโดนกระแสโจมตีรุนแรงยิ่งกว่าครั้งก่อน เมื่อหลายคนมองว่าสิ่งที่เธอได้ให้สัมภาษณ์ไว้ในตอนแรกอาจจะเป็นคำโกหกคำโต

ท้ายที่สุดหลังจากที่ดราม่าครั้งนี้ส่งผลเสียต่อบุคคลหลายฝ่าย และสร้างความเข้าใจผิดให้กับแฟนๆ ที่ติดตามข่าวอย่างต่อเนื่อง ทางด้านของ เวียร์ ศุกลวัฒน์ พระเอกหนุ่มที่ตกเป็นประเด็นก็ได้ออกมาเคลียร์ความบริสุทธิ์ใจด้วยตัวเองว่า ข่าวทั้งหมดไม่เป็นความจริง และตนก็สนิทกับชิงชิงผ่านเพื่อนเท่านั้น ไม่เคยคุยกันนอกรอบ ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกัน ที่สำคัญเจ้าตัวก็มีแค่นางเอกสาว เบลล่า ราณี เป็นที่หนึ่งในใจเพียงคนเดียว

ในขณะที่ ชิงชิง คริษฐา ก็ได้ออกมากล่าวคำขอโทษที่การให้สัมภาษณ์ของเธอทำให้หลายคนเดือดร้อนและเข้าใจผิด ซึ่งทั้งหมดเป็นไปเพราะความตื่นเต้น พร้อมกับยืนยันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นตัวเธอเองไม่ได้รู้สึกเสียใจแต่อย่างใด เพราะอย่างที่เคยได้ชี้แจงไว้ว่ามันไม่ได้มีอะไรมาตั้งแต่แรก

แพทริเซีย ธัญชนก กู๊ด

แพทริเซีย ธัญชนก กู๊ด

จากคู่รักสุดหวานที่ดูยังไงก็ไม่มีทีท่าว่าจะเดินทางมาถึงจุดจบ กลับกลายเป็นคู่ที่จบความรักได้สะเทือนวงการที่สุดในปี 2019 ไปซะอย่างนั้น สำหรับคู่ของ พีช-พชร จิราธิวัฒน์ และ แพทริเซีย ธัญชนก กู๊ด คู่รักคนบันเทิงที่บ่มเพาะความหวานร่วมกันมานานถึง 3 ปี 

แต่ทว่าในปีนี้กลับมีเหตุให้รักที่เคยหวานแปรเปลี่ยนเป็นความขม เมื่อมีข่าวลือหลุดออกมาว่า พระเอกไฮโซถูกนางเอกสาวลูกครึ่งสะบั้นรัก โดยฝ่ายชายเป็นคนจับได้ว่าฝ่ายหญิงหนีไปมีหนุ่มคนใหม่ ซึ่งในเวลานั้นก็มีอยู่ไม่กี่คู่ที่ชาวเน็ตพากันตั้งข้อสงสัย และหนึ่งในนั้นก็คือคู่ของ พีช พชร และ แพทริเซีย กู๊ด

จากความสงสัย พัฒนาไปสู่การหาคำตอบ และเมื่อต้องเจอคำถามจากโลกโซเชียลหนักเข้าถึงสถานะความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่ พีช พชร จึงได้ออกมายืนยันกับกองทัพสื่อเป็นครั้งแรกว่า "ความรักยังแฮปปี้ดี และข่าวลือที่ออกมาก็ไม่ได้มีผลกระทบใดๆ" แต่หลังจากที่ พีช พชร ออกมาให้สัมภาษณ์ได้เพียงไม่นาน ก็มีภาพหลุดระหว่าง แพทริเซีย กู๊ด และไฮโซหมื่นล้าน โน้ต-วิเศษ รังษีสิงห์พิพัฒน์ ถูกแชร์ต่อกันในโลกออนไลน์ บวกกับในช่วงเวลานั้นตรงกับวันคล้ายวันเกิดของฝ่ายหญิงพอดี แต่กลับไร้เงาหนุ่มพีชเดินทางไปร่วมงาน จึงยิ่งทำให้เรื่องราวความรักของทั้งคู่ถูกหยิบขึ้นมาพูดถึงอีกครั้ง และครั้งนี้ดูเหมือนว่าจะทวีความรุนแรงมากกว่าเดิมหลายเท่า

กระทั่งในที่สุด พีช พชร ต้องออกมาให้สัมภาษณ์เพื่อเคลียร์เรื่องดังกล่าวต่อหน้าสื่อ โดยครั้งนี้เจ้าตัวได้รับสารภาพแบบเต็มปากว่า ข่าวลือที่บอกว่าตนได้เลิกรากับนางเอกสาวคนรัก แพทริเซีย กู๊ด ทั้งหมดเป็นเรื่องจริง และเกิดขึ้นจากปัญหาส่วนตัวระหว่างคนสองคนที่ไม่สามารถซ่อมได้ ส่วนเรื่องมือที่สามนั้น พีช พชร ได้ย้ำชัดเจนว่า ตนไม่ขอพูดถึง เนื่องจากว่าไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันแล้ว

ในขณะที่ โน้ต วิเศษ ก็ได้ใช้พื้นที่บนอินสตาแกรม @notevises โพสต์ข้อความชี้แจงข้อเท็จจริงถึงความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าตัวกับนางเอกสาวเช่นกัน ซึ่ง โน้ต วิเศษ ได้ยอมรับว่ารู้จัก แพทริเซีย กู๊ด จริง แต่รายละเอียดที่เป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างฝ่ายหญิงกับ พีช พชร นั้น ตนไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้ พร้อมกับทิ้งท้ายด้วยประโยคเด็ดว่า ตนเป็นคนชัดเจน ถ้าไม่เคลียร์จะไม่เข้าไปยุ่งแน่นอน

เมื่อชายหนุ่มทั้ง 2 ราย ที่ตกเป็นประเด็นในกรณีดราม่าครั้งนี้ออกมาเคลียร์ทุกอย่างในมุมของตัวเองจนหมดเปลือก ก็ถึงคิวของ แพทริเซีย กู๊ด นางเอกสาวชื่อดังที่จะต้องออกมาพูดบ้าง ซึ่งเธอได้ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า เธอกับ พีช พชร มีปัญหากันมาได้สักระยะหนึ่งแล้วก่อนที่จะตัดสินใจจบสถานะคนรัก ซึ่งปัญหาที่ว่านั้นก็ไม่ใช่เรื่องของมือที่สามอย่างแน่นอน และการที่ โน้ต วิเศษ เข้ามาสนิทสนมกับเธอก็ไม่ใช่การคบซ้อนอย่างที่หลายคนเข้าใจ เพราะอีกฝ่ายเข้ามาในตอนที่เธอกับ พีช พชร ได้เคลียร์ทุกอย่างอย่างชัดเจนที่สุดแล้ว

"มันอาจจะดูเร็วที่เรามูฟออน แต่เราได้ใช้เวลากับความเสียใจมาแล้ว"

ประโยคข้างต้น คือคำพูดที่ แพทริเซีย กู๊ด ได้กล่าวไว้ขณะเคลียร์ปมดราม่าความสัมพันธ์ระหว่าง พีช พชร และ โน้ต วิเศษ ซึ่งทำให้คำว่า "มูฟออน" ที่เธอหยิบมาใช้ กลายเป็นประโยคฮิตในโลกออนไลน์ อีกทั้งยังได้ขึ้นเทรนด์อับดับ 1 ของทวิตเตอร์ ณ เวลานั้นด้วย

ดีเจแมน พัฒนพล กุญชร ณ อยุธยา

ดีเจแมน-พัฒนพล กุญชร ณ อยุธยา

จากปีแห่งความมงคล เพราะเป็นปีที่ได้ร่วมหอลงโรงกับแฟนสาวหุ่นแซ่บเจ้าของฉายา ลูกทุ่งเสมอหู ใบเตย อาร์สยาม กลับกลายเป็นปีที่ นักแสดงหนุ่มมาดเข้ม ดีเจแมน-พัฒนพล กุญชร ณ อยุธยา ต้องเจอกระแสดราม่าครั้งใหญ่ไปซะอย่างนั้น

เมื่อชื่อของเจ้าตัวก็ถูกนำไปเชื่อมโยงกับ คดีแชร์ FOREX 3D ในทำนองว่าอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกันในฐานะผู้บริหาร เนื่องจากมีชาวเน็ตตาไวขุดภาพถ่ายร่วมเฟรมระหว่าง ดีเจแมน กับ นายอภิรักษ์ โกฎธิ ผู้ชักชวนประชาชนให้ร่วมลงทุนในแชร์ FOREX 3D ขณะนั่งประชุมอยู่ในห้องเดียวกัน ออกมาเผยแพร่ในโลกโซเชียล

นอกจากนั้นแล้วในช่วงเวลาดังกล่าวก็ยังมีข่าวลือตามมาอีกว่า พิธีแต่งงานสุดอลังการระหว่าง ดีเจแมน กับ ใบเตย ทั้งคู่ได้นำเงินของผู้เสียหายในคดีแชร์ FOREX 3D มาใช้ในการจัดงาน แถมตัวของ นายอภิรักษ์ โกฎธิ ก็ยังมอบเงินใส่ซองเป็นขวัญถุงแก่คู่บ่าวสาว เป็นจำนวนสูงถึง 10 ล้านบาท อีกด้วย

จากเหตุการณ์ดังกล่าวได้สร้างความเสียหายให้กับชื่อเสียงของ ดีเจแมน และ ใบเตย เป็นอย่างมาก กระทั่ง คดีแชร์ FOREX 3D ได้ถูกพิจารณารับเรื่องให้เป็นคดีพิเศษ ภายใต้ความดูแลของดีเอสไอ ทั้งคู่จึงได้ออกมาแถลงข่าวต่อหน้าสื่อมวลอย่างเป็นทางการ ถึงความสนิทสนมที่มีต่อ นายอภิรักษ์ โกฎธิ และประเด็นดราม่าเกี่ยวกับเงินที่ใช้ในการจัดงานวิวาห์ รวมถึงเงินใส่ซองจำนวนมหาศาล

โดย ดีเจแมน ได้ยืนยันด้วยความบริสุทธิ์ใจว่า ตนเกี่ยวข้องกับแชร์ FOREX 3D ในฐานะผู้ลงทุนเท่านั้น และไม่ได้เป็นทั้ง CEO หรือมีหุ้นส่วนใดๆ เกี่ยวกับบริษัทดังกล่าวเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งความสัมพันธ์กับ นายอภิรักษ์ โกฎธิ ที่หลายคนมองว่าสนิทสนมกัน จริงๆ แล้วก็มีสถานะเป็นเพียงแค่เพื่อนปกติ และที่สำคัญตนก็ไม่เคยรู้เบื้องลึกเบื้องหลังใดๆ มาก่อนเกี่ยวกับธุรกิจแชร์ FOREX 3D เนื่องจากตนกับอีกฝ่ายไม่เคยถามไถ่กันในเรื่องของการทำงาน

ส่วนประเด็นเงินที่ใช้ในการจัดงานวิวาห์ ที่ถูกโยงว่ามีการนำเงินผู้เสียหายจาก คดีแชร์ FOREX 3D มาเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดงานนั้น ดีเจแมน ตอบชัดเจนว่า รู้สึกเสียใจมากที่ถูกมองในแง่นี้ เพราะหลายปีที่ผ่านมา ทั้งเจ้าตัว คุณแม่ รวมไปถึง ใบเตย ต่างก็ตั้งใจทำงานของตัวเองอย่างเต็มที่มาโดยตลอด อีกทั้งในวันสำคัญของทั้งคู่ก็ยังมีพี่ๆ เพื่อนๆ ที่รักใคร่ให้ความช่วยเหลือกันหลากหลายฝ่าย จึงทำให้งานวิวาห์ในวันนั้นออกมายิ่งใหญ่อย่างที่ปรากฏให้เห็น

ขณะเดียวกัน ดีเจแมน ยังย้ำด้วยว่า ข่าวลือเรื่องเงินใส่ซองเพื่อเป็นขวัญถุงแก่คู่บ่าวสาวเป็นจำนวน 10 ล้านบาท ก็ไม่ได้เป็นความจริงเลยแม้แต่น้อย เพราะในความเป็นจริงแล้ว ทั้งคู่ได้เงินใส่ซองจาก นายอภิรักษ์ โกฎธิ เพียงแค่ 2,000 บาท เท่านั้น

ซึ่งในวันนั้นนอกจาก ดีเจแมน และ ใบเตย จะได้ออกมาแถลงข่าวชี้แจงความจริงที่หลายคนสงสัยแล้ว ทั้งคู่ก็ยังเอ่ยปากด้วยความรู้สึกโล่งใจว่า ยินดีที่ได้มีโอกาสมาเดินทางมาให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวนดีเอสไอ ตามหมายเรียกในฐานะพยานที่ได้รับผลกระทบ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสิ่งที่ชี้แจงไปนั้นจะช่วยให้สังคมรู้สึกหายจากความแคลงใจในที่สุด

อัลบั้มภาพ 20 ภาพ

อัลบั้มภาพ 20 ภาพ ของ 10 ดราม่า สะเทือนวงการ ย้อนรอยข่าวฉาวที่สุดแห่งปี 2019

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook