เปิดโลกสีหม่น "เจษ เจษฎ์พิพัฒ" กับความช้ำลึกๆ ที่มาพร้อมคำว่า "ทายาทเศรษฐี"

เปิดโลกสีหม่น "เจษ เจษฎ์พิพัฒ" กับความช้ำลึกๆ ที่มาพร้อมคำว่า "ทายาทเศรษฐี"

เปิดโลกสีหม่น "เจษ เจษฎ์พิพัฒ" กับความช้ำลึกๆ ที่มาพร้อมคำว่า "ทายาทเศรษฐี"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ต้องยกให้เป็นหนุ่มที่น่าจับตามองอีกหนึ่งคน สำหรับนักแสดงมากความสามารถ เจษ-เจษฎ์พิพัฒ ติละพรพัฒน์ ที่ค่อยๆ พัฒนาฝีมือด้านการแสดงฝากผลงานให้แฟนๆ ได้ติดตามมากว่า 7 ปี ซึ่งแต่ละผลงานก็มีทั้งเข้าตาและไม่เข้าตา โดนกระแสวิพากษ์วิจารณ์มามากมาย แต่ก็ได้รับเสียงชื่นชมมาไม่น้อยเช่นกัน และตอนนี้หนุ่มเจษกำลังมีผลให้แฟนๆ ติดตามกับบท "ทรงโปรด" จากละคร สงครามนักปั้น ซีซั่น 2 ออนแอร์ทางช่อง วัน31  ที่แฟนละครคอนเฟิร์มว่าฝีมือของหนุ่มเจษพัฒนาอย่างก้าวกระโดด

งานนี้ sanook.com จึงถือโอกาสชวนหนุ่มเจษมานั่งจิบกาแฟ พูดคุยชิลๆ กันที่ร้าน ขม คอฟฟี่ (Khom coffee) ถึง 7 ปีในวงการบันเทิง และเรื่องราวดราม่าในชีวิตที่คนให้ความสนใจเพราะเจ้าตัวเพิ่งออกมาเผยว่า แท้จริงแล้วเป็นทายาทเจ้าของตลาดรังสิต และครอบครัวเคยล้มละลายมาก่อน โดยตัวเขาเองถูกสายตาคนภายนอกตัดสินมาตลอดว่าเป็นลูกคนรวยไม่ได้จริงจังกับการทำงานในวงการ พร้อมกับความในใจอีกมากมายที่หนุ่มคนนี้ไม่เคยบอกใคร

เป็นยังไงบ้างกับการทำงานในละคร สงครามนักปั้น ซีซั่น 2 ?

"ฟีดแบ็คออกมาดีครับ คนก็ชอบ จริงๆ สงครามนักปั้น ซีซั่น 2 ก็เป็นละครเรื่องเดียวนั่นแหละครับ เป็นเรื่องที่ต่อกันมา แต่สำหรับผมเราก็มีการตีความ วิธีการแสดง สื่อความที่แตกต่าง ลึกและละเอียดขึ้นและเพื่อความแปลกใหม่และน่าสนใจ เพราะตัวผมเองผมอยากหาอะไรแปลกใหม่มาให้ผู้ชม อยากให้ตัวละครมีเสน่ห์มากขึ้น ในเรื่องเรามีเส้นเรื่องหลายเส้นเรื่องมาก เพราะตัวละครมีเรื่องราวของตัวเองทั้งหมด ซีซั่นนี้ก็จะเล่นเส้นใครเส้นมันไปเลย แล้วเป็นเหมือนการแข่งกันว่าอยากให้คนมาดูเส้นเรื่องของเรานะ ทุกคนก็ทำการบ้าน คิดวิธีการถ่ายทอดให้ทุกคนสนใจและสิ่งที่คนดูจะเห็นจากละครเรื่องนี้เลยก็ คือ แง่คิดที่ว่าทุกการกระทำของทุกคน มีเหตุผล แต่ความดีมันชนะทุกอย่างครับ"

เจษ จากละครสงครามนักปั้น 2

ทรงโปรด มีความเหมือนตัวตนจริงๆ ของเราบ้างไหม?

"ตัวทรงโปรดเขาเป็นตัวละครค่อนข้างจะร้าย การตัดสินใจ การกระทำต่างๆ ค่อนข้างร้าย แต่อีกนัยนึงเราต้องแสดงออกไปว่าร้ายนะแต่จะทำยังไงให้คนรักไปในขณะเดียวกัน จริงๆ เขาเป็นพระเอกร้าย ซึ่งพอละครออนไปคนก็เชียร์นะ เหมือนคนเข้าใจในสิ่งที่เขาทำออกไป แต่ถามว่ามีส่วนไหนที่เขาเหมือนผมบ้าง คงเหมือนตรงที่เขาเป็นคนไม่ยอมแพ้กับสิ่งที่เขาต้องการ เหมือนผมที่ก็ค่อนข้างเป็นคนที่มีนิสัยไม่ยอมแพ้อะไรสักเท่าไหร่ครับ"

อยู่วงการมา 7 ปี แล้วเห็นความเปลี่ยนแปลงของตัวเองยังไงบ้าง?

"ผมว่าทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปตามเวลาแบบปกติ ซึ่งผมว่าผมพอใจกับตอนนี้นะ เรารู้สึกได้ว่าเราโตขึ้นตามสิ่งที่ควรจะเป็น อย่างเรื่องงานเรื่องการพัฒนางานก็พัฒนาตามประสบการณ์ ผู้ชมก็ได้เห็นงานของเราหลากหลายและยอมรับเรามากขึ้น แต่สิ่งที่ผมรู้สึกมากๆ เลย คือ การพัฒนาในด้านของความเป็นมนุษย์ ที่ผมคิดว่าการอยู่ในวงการบันเทิงมันให้อะไรเราเยอะมาก เรามีโอกาสรู้จักคนเยอะ ทำให้ประสบการณ์และวุฒิภาวะเราสูงขึ้นจากการได้เจอผู้คนมากหน้าหลายตา มากมายหลายระดับ"

มีเหตุการณ์ไหนที่เรารู้สึกว่าถ้าไม่มีเหตุการณ์นั้นคงไม่มีเจษในวันนี้?

"เยอะมากครับ เคยโดนปลดจากละครเรื่องหนึ่งจนทำให้มกลายเป็นคนกลัวความผิดพลาดก็เลยทำทุกอย่างเต็มที่ไม่ให้เกิดความผิดพลาดได้ จากความกลัวมันส่งให้เราตั้งใจมากขึ้น ทุกๆ เรื่องผมจะกลัวการโดนด่าเสมอ กลัวโดนปลด เพราะเราเคยมีประสบการณ์มาแล้วและคิดเสมอว่าถ้าเราไม่ตั้งใจให้มากมันอาจจะเกิดสิ่งนั้นอีกก็ได้ หลังจากนั้นทำให้ผมไม่เคยชิลกับการทำงานเลย ไม่ใช่รู้สึกว่าเราได้งานมาแล้วจะทำยังไงก็ได้ครับ"

อย่างเรื่องการพัฒนาด้านความเป็นมนุษย์ ลองยกตัวอย่างให้ฟังหน่อย?

"เมื่อก่อนเราจะมองอะไรรอบตัวและตัดสินอะไรทุกๆ อย่างจากความคิดจากประสบการณ์ของเรา ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเรายังไม่ได้เจอทุกอย่างในโลก เราไม่สามารถรู้ได้ว่าสิ่งที่เป็นจริงๆ ใช่อย่างที่เราคิดหรือเปล่า แต่ปัจจุบันนี้ก็เข้าใจสิ่งต่างๆ มากขึ้น ยอมรับและเห็นใจในสิ่งต่างๆ มากขึ้น รวมทั้งคิดบวกมากขึ้นเพราะคิดลบไม่มีประโยชน์อะไร เข้าใจคนอื่นๆ เช่น คนคนหนึ่งทำในสิ่งที่เราอาจจะไม่ชอบแต่เราเข้าใจเขาได้ว่าทำไมเขาถึงทำ ทุกอย่างมีเหตุผลของมัน ทุกคนมีความต้องการที่ไม่เหมือนกัน ก็ทำให้เราไม่ไปหัวเสียหรือหงุดหงิดกับสิ่งต่างๆ ครับ"

"แรกๆ ที่เข้าวงการมาก็รู้สึกไม่ดีที่คนมาว่าเรา รู้สึกอยากโต้ตอบ จนเราค่อยๆ มาคิดครับว่า โอเค คนที่ไม่ชอบเราเขาไม่ชอบเราเพราะอะไร เราต้องดูเป็นเคสๆ ไป พอเรารู้ว่าเหตุผลที่เขาไม่ชอบเราของแต่ละคนคืออะไรเราก็จะแยกได้ว่าคนไหนที่เราควรสนใจ คนไหนที่ไม่ควรสนใจ จริงๆ ผมเคยคิดว่าผมจะไม่ยอมเปลี่ยนอะไรเลยเพราะรู้สึกว่าสิ่งนั้นมันดีแล้ว แต่พอเราโตขึ้นเราเห็นแล้วว่าถ้ามันเป็นสิ่งที่ดีกว่า ทำให้เราเป็นคนที่ดีขึ้นทำไมเราถึงจะไม่ยอมเปลี่ยน"

"เมื่อก่อนเป็นคนอีโก้สูงมาก เป็นคนมั่นใจ เพราะผมว่าผมก็มาจากสิ่งที่ต่างๆ ที่ประสบความสำเร็จในความคิดของเราทั้งนั้นว่าเราทำได้ เช่น การเรียน กีฬา ดนตรี เราทำมาทุกอย่างก็มีคนชื่นชมตลอด ก็เลยกลายเป็นว่าเราคิดว่าเราทำทุกอย่างได้ดีทั้งหมด แต่พอมาเจอสิ่งที่เราทำไม่ได้ หรือว่ามาเจอในสิ่งที่มีคนเก่งกว่าเราจริงๆ เพราะบางสิ่งมันวัดด้วยประสบการณ์จริงๆ ถ้าประสบการณ์เราไม่ถึงเราก็ไม่มีทางจะเก่งเท่าเขาได้แน่นอน ตอนแรกเราก็ไม่ยอมรับ เราคิดว่าเราทำได้ทำดีแล้ว แต่พอเรียนรู้ที่จะยอมรับ เราก็พร้อมที่จะปรับปรุงและเมื่อปรับปรุงก็ดีขึ้นจริงๆ และตอนนี้กลายเป็นผมพอใจกับสิ่งที่ทำออกมายากมาก เป้าหมายของผมในวงการตอนนี้เลยคือ ผมจะทำยังไงให้ผมรู้สึกว่างานผมออกไปแล้วผมชอบมัน เพราะผมค่อนข้างจะเป็นแบบเพอร์เฟคชั่นนิสต์มากครับ"

 คิดว่าตัวเองเลือกถูกไหมที่เลือกมาเป็นนักแสดง?

"ถูกนะ แต่ผมมีความคิดว่า ไม่ว่าผมเลือกอะไรผมก็เลือกถูก เพราะในเมื่อผมเลือกแล้วผมจะต้องทำมันเต็มที่อยู่แล้ว สมมติว่าผมไม่ได้เป็นนักแสดงแล้วไปทำงานในสิ่งที่ผมเรียนมา ผมก็ไม่รู้ว่าจะไปถึงขั้นไหนแต่ผมก็คงไม่ยอมอยู่เฉยๆ แน่ๆ"

 หลังจากข่าวเรื่องเราเป็นทายาทเศรษฐีออกมาฟีดแบ็กกลับมาที่เรายังไงบ้าง?

"เห้อ! ผมไม่ใช่เศรษฐี ผมไม่ได้ร่ำรวยขนาดนั้น และผมก็ไม่รู้ว่าบ้านผมเคยร่ำรวยขนาดไหน เพราะผมก็ไม่เคยไปเรียกร้องขออะไรในสิ่งที่เขามี แต่ก็ยอมรับว่าไม่ได้ลำบาก เราไม่ได้ต้องแบบว่าเอาเงินทุกบาททุกสตางค์ไปใช้หนี้  ไม่ได้ถึงขนาดต้องเอาเงินทุกบาททุกสตางค์มาจ่ายค่าเล่าเรียนเอง"

รู้สึกยังไงกับคำว่า "ทายาทเศรษฐี" ?

"ก็เกินไปหน่อย (หัวเราะ) คำว่า ทายาทเศรษฐี สำหรับผมมันค่อนข้างจะลบนิดนึง เพราะมีหลายคนที่มองว่าเราสบาย ไม่ต้องทำอะไร หรือ เข้ามาทำงานในวงการเล่นๆ เอาชื่อเสียงเดี๋ยวก็กลับไปทำงานที่บ้านเพราะที่บ้านสบายอยู่แล้วนี่ ซึ่งมันไม่ใช่ ผมโดนคำพูดพวกนี้มาเยอะมาก ผมว่าในวงการนี้คนที่เขามีพื้นหลังเรื่องราวชีวิตที่ไม่ค่อยดีจะโชคดีกว่า เพราะคนจะเห็นใจ คนจะเข้าใจ ซึ่งการที่คนมองและตัดสินเราไปแล้วว่าลูกคุณหนู ลูกเศรษฐี เราไม่สามารถไปอธิบายให้เขาฟังได้ ผมก็อยากบอกว่า ผมยอมรับว่าผมไม่ได้ลำบาก แต่ผมไม่ได้สบาย ไม่ได้พึ่งพาใครอย่างที่หลายคนคิด สิ่งที่มีก็คือสิ่งที่ตัวเองสร้างมาเองทั้งหมด ไม่ได้ขอให้ที่บ้านช่วย ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าสิ่งที่ตัวเองหามาได้เองครับ"

ครอบครัวเจษ

ครอบครัวเราโอเคกับการตัดสินใจของเราทุกอย่าง?

"ครับ ผมโชคดีที่ครอบครัวมีวิธีสอนให้เราช่วยเหลือตัวเองได้ เอาจริงๆ เขาก็เตรียมอะไรไว้ให้เราแต่เขาอยากให้เราเรียนรู้ด้วยตัวเองด้วย อย่างธุรกิจที่ทำอยู่สุดท้ายผมก็ต้องกลับไปทำอยู่แล้วเพราะเป็นธุรกิจของครอบครัว บ้านผมเป็นกงสี แต่ที่บ้านสอนให้ผมใช้เท่าที่เราหามาได้เอง ไม่ได้สอนให้ฟุ่มเฟือย ไม่ได้เลี้ยงเราแบบว่ามีอะไรก็ให้เราหมดทุกอย่าง เขาสอนให้เราพอกับสิ่งที่มี เป็นสิ่งที่ผมรู้สึกโชคดีที่ครอบครัวสอนผมแบบนี้ครับ"

ถ้าวันหนึ่งจำเป็นต้องเลือกระหว่างงานวงการกับธุรกิจครอบครัว?

"ผมว่าเราทำสองอย่างพร้อมกันได้ไหม (หัวเราะ) ผมว่าพ่อผมไม่มีทางบังคับให้ผมเลือก เขาไม่ได้สอนผมมาแบบนั้น แต่ถ้ามันถึงจุดที่เราทำสิ่งหนึ่งแล้วทำให้อีกสิ่งหนึ่งต้องลำบาก หรือ ทำให้คนอีกฝั่งหนึ่งลำบากเราอาจจะต้องเลือกเอง แต่เอาจริงๆ ธุรกิจของครอบครัวยังไงผมก็ต้องทำอยู่ดี"

เจษเคยบอกว่าครอบครัวเคยล้มละลาย ใจจริงอยากให้บ้านกลับมาร่ำรวยเท่าตอนยังไม่ล้มไหม?

"จริงๆ ทั้งตอนที่มีและตอนที่ล้ม ผมเด็กมากเลยไม่ได้รู้สึกว่าเปลี่ยนแปลง หรือ ได้รับผลกระทบอะไร คนที่กระทบคือพ่อแม่ แต่ตอนนี้ที่ผมรู้สึกว่ามันโอเคอยู่แล้วเพราะตอนนี้ทุกคนมีความสุขทุกคนโอเค และพ่อผมเป็นคนพูดเองว่า "ดีแล้วที่ไม่ได้รวยเหมือนตอนนั้น เพราะรวยมากก็จะยิ่งยากรวยขึ้นไปอีก ไม่รู้จักพอ ถ้าไม่ล้มก็ยังอยากไขว่คว้าที่จะรวยไปเรื่อยๆ" เขาเคยล้มมา เขาก็จะรู้ว่าแค่ไหนคือพอ พ่อเรียนรู้จากประสบการณ์เหมือนกัน และพ่อก็รู้เลยว่าควรจะสอนผมแบบไหน" 

ตอนนี้เรียนจบปริญญาโทแล้วด้วย เห็นว่าเกรดสูงมาก?

"ใช่ครับ จบการเงิน เกรด 3.91 (หัวเราะ) ที่เลือกเรียนการเงินเพราผมรู้สึกว่ามันง่ายสำหรับผม ผมชอบ ก็เป็นอีกเรื่องที่ผมถนัดตั้งแต่เด็กแต่ถามว่าจะเรียนต่อเลยไหมตอนนี้คงขอพักก่อนครับ"

มาเรื่องความรักบ้าง หวานกับ "วิว วรรณรท" จนโดนแซวหนักมาก?

"ความสัมพันธ์ตอนนี้สบายใจครับ เพราะเหมือนตอนนี้เราโตแล้ว สำหรับข้อจำกัดของวงการบันเทิงว่าถ้าเปิดตัวแล้วคนจะมองคู่เรายังไง เราไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนั้นมากเท่าเรื่องของเราสองคนว่าจะปรับจูนกันยังไง"

แสดงว่ารักที่ผ่านๆ ก็เคยโดนปัญหาเปิดตัวไม่ได้?

"เมื่อก่อนเป็นไงครับ หมายถึงว่าสังคมเมื่อก่อนก็เป็นแต่ตอนนี้สังคมค่อยๆ ปรับ ไม่ได้ซีเรียสเรื่องความรักของคนในวงการบันเทิงมากเท่าเมื่อก่อน เมื่อก่อนจะคบใครอาจจะมีทั้งเรื่องสังคมทั้งเรื่องผู้ใหญ่ แต่เราต้องยอมรับว่าการที่เราเป็นนักแสดงเราก็เป็นเหมือนสินค้าหนึ่ง เวลามีอะไรที่เป็นภาวะสุ่มเสี่ยงผู้ใหญ่ก็ต้องคอยดูแล เราก็เข้าใจเขา ส่วนตัวผมเป็นผู้ชายอาจจะได้รู้สึกอะไรมากมาย แต่ผู้หญิงเขาอาจจะอึดอัด แต่ตอนนี้ยุคสมัยเปลี่ยนไปก็สบายใจขึ้นครับ"

"เคยมีปัญหาที่คนที่เราคบเขาอยากเปิดแต่เรายังเปิดไม่ได้ ก็ทำให้ต้องเลิกกัน มีทั้งที่คนที่คบกันไม่นาน และคนที่คบกันนานแล้วเจอปัญหานี้ทำให้เลิกกันก็มี แต่ถ้าเราคบคนในวงการดีอย่างหนึ่งที่คนในวงการจะเข้าใจในความจำเป็นที่เราเป็นอยู่ แต่ถ้าเป็นคนนอกวงการเขาจะไม่เข้าใจสักเท่าไหร่ว่าแค่เปิดตัวแฟนมันจะเดือดร้อนอะไรนักหนา ทำไมล่ะ เปิดตัวแฟนแล้วจะไม่มีงานเหรอ? ซึ่งเมื่อก่อนก็ต้องยอมรับว่าเป็นปัญหาจริงๆ แหละ แต่เดี๋ยวนี้เปิดแล้วอาจจะดีกว่าไม่เปิดด้วยซ้ำครับ"

ถามจริงๆ กับวิว ไปสปาร์คกันตอนไหน เพราะน่าจะเจอกันมานานแล้ว?

"จริงๆ เราเฉียดกันไปมานานแล้ว แต่มีครั้งนึงไปกินข้าวกับเพื่อนๆ กลุ่มใหญ่ ก็เลยมีโอกาสคุยกัน ได้รู้จักเขามากขึ้นมาเขาเป็นคนแบบไหน แต่สิ่งที่ผมรู้สึกเลยคือ "เขาเป็นคนดี" เป็นคนติดดินมาก เขาเป็นคนธรรมดาที่ไม่ค่อยคิดว่าตัวเองเป็นดารา ซึ่งผมก็เป็นแบบนั้น ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาคอยดูแล มาคอยปฏิบัติกับเราว่าเราเป็นดารา เราเป็นคนที่มีธรรมชาติคล้ายๆ กัน"

มีเขาเข้ามาในชีวิตแล้วเป็นยังไงบ้าง?

"มีเขาในชีวิตแล้วทำให้ผมเปลี่ยนไปนะ ทำให้เราใส่ใจรายละเอียดในสิ่งต่างๆ มากขึ้น เพราะปกติผมอยู่คนเดียวผมก็ไม่ค่อยได้ใส่ใจหรือคิดอะไรมาก ทำอะไรก็ไม่มานั่งสนใจใคร แต่พอมีเขาเราเรียนรู้ที่จะใส่ใจสิ่งต่างๆ นอกจากตัวเอง ทั้งเขา ทั้งครอบครัว เพื่อน ผู้ร่วมงาน ผมรู้สึกว่าผมเปลี่ยนไปในจุดนี้ เพราะวิวเขาเป็นคนละเอียด เป็นผู้หญิงที่มีความผู้หญิงมากๆ วิวเขาเป็นคนสดใสเขาก็เหมือนเติมสีสันในชีวิตผม เพราะผมเป็นคนที่ค่อนข้างจะหม่นๆ หาความสุขยากหน่อย แต่เขาเป็นคนมีความสุขกับอะไรง่ายๆ บางทีแค่กินก็มีความสุขแล้ว (หัวเราะ)"

เจษ-วิวเขางอแงไหม?

"ก็มีบ้างเป็นธรรมดาครับ ผมว่าก็ต้องเรียนรู้วิธีรับมือกันไปว่าเขาโอเคกับอะไร ไม่โอเคกับอะไร ค่อยๆ ปรับเข้าหากันคนละครึ่งทาง"

ทะเลาะกันบ้างหรือเปล่า?

"ก็มี มาจากเรื่องเข้าใจผิดกันมากกว่า เช่น มีบางเรื่องที่เรารู้สึกว่าไม่อยากบอก แต่เขารู้สึกว่าเราโกหก หรือว่าเขาทำในสิ่งที่เราเคยพูดไว้แล้วว่าไม่ชอบมากๆ อะไรประมาณนี้ แต่ยังไม่ถึงขั้นหยุดคุย จริงๆ เขาเป็นคนโกรธง่ายแต่หายเร็ว ซึ่งให้เขาโกรธจะดีกว่าผมโกรธเพราะผมโกรธยากแต่โกรธนานครับ"

แม่วิวก็ขึ้นชื่อเรื่องหวงลูกสาว เราเอาชนะใจแม่เขายังไง?

"คุณแม่น่ารักและดีกับผมมากครับ ผมว่าผมน่าจะเข้าถูกช่วงมั๊ง (หัวเราะ) เพราะวิวค่อนข้างจะโตแล้ว แม่ค่อนข้างจะไว้ใจ แม่ไม่ได้บังคับหรือบอกลูกให้ทำโน่นทำนี่ ส่วนตัวผมเองผมรู้จักคุณแม่ตั้งนานแล้วก่อนที่จะมีโอกาสได้คุยกับวิวซะอีก เมื่อก่อนทุกครั้งที่เจอวิว ผมไม่เคยคุยกับวิวเลย ผมคุยแต่กับแม่ (หัวเราะ) ตอนวิวบอกว่าเราคบกันผมก็แอบกลัวว่าแม่จะว่ายังไงเหมือนกัน แต่สุดท้ายทุกอย่างออกมาดีครับ แม่บอกให้ดูๆ กันไป"

แล้วครอบครัวเราล่ะ เป็นยังไงบ้าง?

"ครอบครัวผมเวลาลูกรักใครเขาก็รักด้วย เขาไม่ได้มีปัญหาอะไรเพราะเราเป็นลูกผู้ชายพ่อแม่ไม่น่าจะห่วงเท่าลูกสาวครับ"

สุดท้ายให้เจษฝากถึงแฟนๆ หน่อย?

"ขอบคุณที่ติดตามผลงานของผมนะครับ ตอนนี้ก็มี สงครามนักปั้น 2 ให้ชมกัน ผมและทุกๆ คนทำการบ้านกันหนักมาก หวังว่าทุกคนจะชอบกับอะไรใหม่ๆ ที่พวกเราสื่อสารออกไปยังไงฝากติดตามกันด้วยครับ ขอบคุณครับ"

เท่าที่ได้พูดคุยกับหนุ่มเจษ ทำให้ได้รู้ว่า จากเด็กหนุ่มอีโก้สูง ตอนนี้ได้กลายเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพเต็มตัว เพราะด้วยความตั้งใจและทัศนคติที่เปิดกว้างพร้อมพัฒนาตัวเองอยู่เสมอทำให้เขาค่อยๆ เข้าไปอยู่ในใจแฟนละครมากขึ้นทุกวัน เห็นแบบนี้แล้วก็อย่าลืมส่งกำลังใจ ติดตามละคร สงครามนักปั้น 2 และผลงานชิ้นอื่นๆ ของหนุ่มคนเก่งคนดีกันเยอะๆ เพื่อที่เขาจะได้มีกำลังใจในการพัฒนาผลงานต่อไป

>>เปิดชีวิตทายาทตลาดรังสิต "เจษ เจษฎ์พิพัฒ" วันที่เขาเลือกเส้นทางบันเทิง

อัลบั้มภาพ 48 ภาพ

อัลบั้มภาพ 48 ภาพ ของ เปิดโลกสีหม่น "เจษ เจษฎ์พิพัฒ" กับความช้ำลึกๆ ที่มาพร้อมคำว่า "ทายาทเศรษฐี"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook