พ่อหัวใจสลาย ลูกสาววัย 16 ถูกนายจ้างข่มขืนจนท้อง มารู้ความจริงหลังทำแท้ง
(7 ม.ค.63) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่ จ.นครพนม ได้ มี นายธนพงษ์ อายุ 45 ปี ชาวบ้าน ต.บ้านผึ้ง อ.เมืองนครพนม พร้อมภรรยา และญาติ นำเอกสารหลักฐาน และลูกสาว คือ นางสาวเอ (นามสมมุติ) อายุ 16 ปี เข้าร้องทุกข์ผ่านสื่อ และเตรียมนำเอกสารหลักฐาน เข้าร้องทุกข์ขอความเป็นธรรม ผ่านมูลนิธิปวีณา กรณีลูกสาว ถูกนายจ้างรายหนึ่ง เป็นร้านขายรองเท้ามือสอง ในเขตเทศบาลเมืองนครพนม บังคับขืนใจ จนกระทั่งตั้งครรภ์ ได้ 2 เดือน จากนั้นได้ถูกนายจ้าง ไล่ออกจากงาน บังคับให้ไปทำแท้ง เอาลูกออกจากครรภ์ โดยหลอกลวงว่าจะดูแลเยียวยา แต่สุดท้ายกลับไม่สนใจ ไม่ติดต่อกลับมาและมีการข่มขู่ หากไปแจ้งความเอาผิด
จนกระทั่งภายหลัง ทางผู้เป็นพ่อได้รู้ความจริง หลังพบเห็นพฤติกรรมลูกสาวซึมเศร้าผิดปกติหลังออกจากงาน และมีการเค้นจนปรากฏความจริงว่านายจ้างบังคับขืนใจ จนตั้งท้องและมีการไปทำแท้งมา พร้อมนำเอกสารหลักฐาน เข้าแจ้งความ ต่อพนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครพนม เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2563 ที่ผ่านมา เพื่อดำเนินคดีเอาผิดกับนายจ้างหื่น แต่ภายหลังเกรงว่าจะถูกคุกคามและถูกวิ่งเต้นปิดคดี เพราะนายจ้างได้พยายามโทรมาคุยและให้ไปเคลียร์ปัญหา จึงเกรงว่าจะมีการล่อลวงไปทำร้าย จึงต้องออกมาร้องเรียนผ่านสื่อ และเตรียมเอกสารหลักฐานเข้าร้องทุกข์ต่อมูลนิธิปวีณา เพื่อให้ดูแลคุ้มครองครอบครัว รวมถึงประสานหน่วยงานเกี่ยวข้องเข้ามาดูแลเยียวยา
ล่าสุดความคืบหน้าของคดีวันนี้ ทาง พ.ต.ท.อภิชาติ สุนีย์ สารวัตรเวร เจ้าของคดี ได้เรียกตัวผู้เสียหาย รวมถึงผู้ปกครองไปสอบปากคำตามขั้นตอนของกฎหมาย พร้อมได้ส่งผู้เสียหายไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลนครพนม เพื่อรวบรวมพยานหลักฐาน ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป หากพบมีการกระทำผิดจริง ทางตำรวจยืนยันดำเนินคดีตามกฎหมายตรงไปตรงมา
ด้าน นางสาวเอ (นามสมมุติ) อายุ 16 ปี เปิดเผยว่า ก่อนนี้เมื่อต้นปีประมาณเดือน พฤษภาคม 2562 ได้ไปสมัครงานในร้านดังกล่าว เป็นร้านขายรองเท้ามือสอง ได้ค่าจ้างรายวันวันละ 300 บาท มีการจ่ายค่าแรงสัปดาห์ละครั้ง เพื่อหารายได้ ช่วยครอบครัว เพราะครอบครัว พ่อแม่รับจ้าง ค้าขายทั่วไป โดยได้พักอยู่บ้านเช่า ต.อาจสามารถ อ.เมือง นครพนม ที่นายจ้างเช่าให้พักรวมกับเพื่อนร่วมงาน ประมาณ 3-4 คน แต่มีนายจ้าง พักในบ้านเดียวกัน เพราะมีหลายห้อง มีวันหนึ่งช่วงเดือนกรกฎาคม 2562 คนงานกลับบ้าน เหลือตัวเองคนเดียวกับนายจ้างแต่พักคนละห้อง
จากนั้นนายจ้าง อายุประมาณ 42 ปี ได้เรียกตนเองไปที่ห้อง อ้างว่าจะสอบถามเรื่องปัญหาในร้านที่ของหาย แต่ไม่ได้คิดอะไร เพราะเห็นว่านายจ้างมีภรรยา มีครอบครัว จึงเข้าไปหา และได้มีการสอบถามหลายเรื่อง สุดท้ายนายจ้าง มีพฤติกรรมแทะโลม พยายามเข้ามากอด บังคับให้ร่วมหลับนอนแต่ตอนไม่ยอมพยายามช่วยเหลือตัวเองหนีมาจากห้อง
จนกระทั่งตื่นเช้ามาทำงาน นายจ้าง ได้มาพูดคุยขอโทษ จะไม่ทำอีก ทำไปเพื่อลองใจ ตนจึงคิดว่าจะไม่กล้าทำอีก และที่ไม่ลาออกเพราะอยากทำงานมีรายได้ ต่อมาห่างกันไม่กี่วัน นายจ้างได้เรียกตนเข้าไปคุยในห้อง และบอกว่าอยากรู้ข้อมูลของหายในร้าน จึงยอมเข้าไป และถูกบังคับขืนใจจนสำเร็จความใคร่ และข่มขู่ไม่ให้บอกใคร จากนั้นได้ พยายามขืนใจอีกหลายครั้ง แต่ตนไม่กล้าเปิดปากบอกใครเพราะกลัว จนสุดท้าย เมื่อเดือนกันยายน 2562 รู้สึกผิดปกติในร่างกาย จึงไปซื่อที่ตรวจการตั้งครรภ์มาตรวจ พบว่าตั้งครรภ์ จึงได้โทรบอกนายจ้าง ฝ่ายนั้นแนะนำให้ไปตรวจที่โรงพยาบาลนครพนม จึงได้ไปตรวจและมีเจ้าหน้าที่แนะนำไปให้ไปทำแท้งที่คลินิกแห่งหนึ่งใน จ.ขอนแก่น เมื่อต้นเดือนธันวาคม 2562
จากนั้นกลับมาทำงานสักระยะ นายเจ้าได้พยายามหาเรื่อง และไล่ออกจากงาน เชื่อว่าจะพยายามหาทางให้ออกจากงาน เกรงว่าความลับจะเปิดเผย ตนจึงออกจากงานมาอยู่บ้าน ซึ่งนายจ้างเคยบอกจะดูแล สุดท้ายไม่สนใจไม่ติดต่อมา และให้เงินก้อนสุดท้ายที่โอนให้ จำนวน 5,000 บาท นำไปจ่ายค่าทำแท้ง จำนวน 3,800 บาท โดยไม่สนใจติดต่อสอบถามมาเลย มีเพียงบางครั้งพยายาม ติดต่อมาให้ไปหา แต่ไม่กล้าไป และถูกพ่อแม่เค้นเอาจนความจริงเปิดเผย จึงพาไปแจ้งความดำเนินคดี
นายธนพงษ์ อายุ 45 ปี เปิดเผยว่า เหตุการณ์ดังกล่าว ตนถือว่าเลวร้ายสุดในชีวิต ตนมีลูกสาว 3 คน ลูกชาย 1 คน ผู้เสียหายเป็นลูกสาวคนที่ 3 โดยพื้นฐานทำอาชีพรับจ้างค้าขาย ลำบากหาเช้ากินค่ำ ลูกทุกคนช่วยกันทำงานรับจ้างต่อสู้ ไม่มีพฤติกรรมเสื่อมเสีย เป็นปัญหาสังคม จนกระทั่งไปทำงานที่ร้านดังกล่าว กับนายจ้างที่ก่อเหตุ ได้ค่าจ้างวันละ 300 บาท ก่อนนี้ตนเคยห่วงลูกสาว และพยายามไปเยี่ยม ครั้งหนึ่งเคยพบนายจ้าง ดังกล่าว อยู่กันสองคนในบ้านเช่า และได้พยายามเข้าไปสอบถาม พุดคุยด้วยความเป็นห่วง กลับถูกนายจ้างต่อว่าตน ว่าดูถูกเหยียดหยาม
จากนั้นไม่คิดว่า เหตุการณ์เลวร้ายจะเกิดขึ้น มาถึงวันนี้ ตนยอมไม่ได้ ขอดำเนินคดีตามกฎหมาย เพราะนายจ้าง กล้าทำกับลุกสาวตนไม่พอ หนำซ้ำบังคับให้ไปทำแท้งเพียงคนเดียว และยังไม่มาดุแล หากหลังเกิดเหตุมาสารภาพ มาดูแล ขอชดเชยเยียวยา ตนยังจะพอรับได้ แต่มาถึงขนาดนี้ขอดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ที่สำคัญห่วงที่สุดคือ เกรงว่านายจ้าง จะมาคุกคามทำร้ายครอบครัว เพราะตนเป็นเพียงชาวไร่ชาวนา ไม่มีอำนาจบารมี แต่นายจ้าง เป็นคนมีฐานะ จึงกังวล และจะนำเรื่องดังกล่าวไปร้องทุกข์ให้มูลนิธิปวีณา มาตรวจสอบดูแล ให้ความเป็นธรรมกับครอบครัวให้มากที่สุด เพราะลูกสาวเป็นเยาวชนอายุแค่ 16 ปี เท่านั้น และยังติดใจว่าทำไมทางโรงพยาบาลนครพนม ถึงแนะนำให้ไปทำแท้งเพียงลำพัง โดยไม่แจ้งผู้ปกครอง หากเกิดอันตรายเป็นอะไรไปใครจะรับผิดชอบ