ช็อก! ดาราหนุ่มลูกครึ่งช่องน้อยสีมีชื่อพัวพัน คดีอุ้มนักธุรกิจสิงคโปร์ทวงเงิน 4 ล้าน

ช็อก! ดาราหนุ่มลูกครึ่งช่องน้อยสีมีชื่อพัวพัน คดีอุ้มนักธุรกิจสิงคโปร์ทวงเงิน 4 ล้าน

ช็อก! ดาราหนุ่มลูกครึ่งช่องน้อยสีมีชื่อพัวพัน คดีอุ้มนักธุรกิจสิงคโปร์ทวงเงิน 4 ล้าน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

นักธุรกิจชาวสิงคโปร์ โผล่แจ้งความ สภ.องครักษ์ อ้างถูกเพื่อนร่วมชาติลวงมาอุ้มในไทย ก่อนพาไปขังในป่าซ้อมรีดเรียกหนี้สินคืนนับล้าน พบมีดาราหนุ่มลูกครึ่งช่องน้อยสีพัวพันด้วย 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า (11 ม.ค.) เมื่อเวลา 14.30 น. นายเอ (นามสมมุติ) นักธุรกิจหนุ่มชาวสิงค์โปร วัย 33 ปี เดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สภ.องครักษ์ จ.นครนายก ว่าถูก นายคิม เพื่อนร่วมชาติ ที่เดินทางมาพร้อมกัน ร่วมมือกับกลุ่มคนร้ายซึ่งเป็นคนไทยประมาณ 4 คน อุ้มลักพาตัวออกมาจากสนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 9 ม.ค.63

ก่อนที่จะนำตัวมาสับเปลี่ยนรถยนต์ ซึ่งใช้เป็นยานพาหนะในการลักพาตัวยังภายในปั๊มน้ำมัน ริมถนนสุวินทวงศ์ ในเขตพื้นที่ ม.17 ต.คลองนครเนื่องเขต อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา จากนั้นได้นำพาตัวไปทำการกักขังหน่วงเหนี่ยวและซ้อมทำร้ายร่างกายในป่า เพื่อทวงเงินคืนจากการร่วมกันลงทุนทำธุรกิจสตาร์ทอัพ และการค้าเงินสกุลบิทคอยน์ วงเงินประมาณกว่า 4 ล้านบาท

แต่นักธุรกิจชาวสิงค์โปรรายนี้ไม่มีเงินสดให้แก่แก๊งอุ้มรีดทวงเงินลงทุนคืน เนื่องจากได้ทำการลบแอปพลิเคชั่นเกี่ยวกับทางด้านการเงินออกจากโทรศัพท์บางส่วนไปก่อนหน้าแล้ว จึงไม่สามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้ จึงโอนเงินคืนไปให้แก่ น.ส.แอนนา ซึ่งเป็นแฟนสาวของนายคิม ได้เพียงบางส่วน

นักธุรกิจหนุ่มชาวสิงค์โปร ยังอ้างว่า ได้ทำการหลบหนีออกมาขอความช่วยเหลือจากชาวบ้านได้ เมื่อช่วงเช้าของวันศุกร์ที่ 10 ม.ค.ที่ผ่านมา ก่อนที่ชาวบ้านจะพาขึ้นรถยนต์ขับหลบหนีมุ่งหน้าไปยังเส้นทางสายบางน้ำเปรี้ยว - องครักษ์ และเข้าไปแจ้งความร้องทุกข์ยังที่สถานีตำรวจ สภ.องครักษ์ ดังกล่าว

ขณะเดียวกันผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมอีกด้วยว่า สำหรับผู้เสียหายรายนี้นอกจากจะทำธุรกิจเกี่ยวกับสตาร์ทอัพ และค้าเงินสกุลบิทคอยน์แล้ว ยังเป็นอาจารย์รับจ้างสอนพิเศษ เป็นกรรมการตรวจตัดสินการประกวดทางด้านการออกแบบการทำธุรกิจ และบรรยายสอนพิเศษให้แก่นักศึกษาในประเทศบรูไนด้วย

ก่อนที่นายเอจะถูกเพื่อนที่ร่วมกันทำธุรกิจลวงให้นั่งเครื่องบินเดินทางเข้ามายังในประเทศไทยพร้อมกัน และได้นำพาคนไทยอุ้มขึ้นรถยนต์แท็กซี่ออกมาจากสนามบินสุวรรณภูมิ จากนั้นได้เข้ามาแวะเปลี่ยนรถยังที่ปั๊มน้ำมัน ริมถนนสุวินทวงศ์ (304) ก่อนถึงตัวเมืองฉะเชิงเทรา

โดยทราบว่ามี "ดาราหนุ่มลูกครึ่งช่องน้อยสี" มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการอุ้มรีดหนี้สินในครั้งนี้ด้วย โดยพบว่ารถยนต์คันที่ใช้ขับเข้ามาก่อเหตุ รับช่วงพาผู้เสียหายไปจากปั๊มน้ำมันนั้น ยังเป็นรถของดาราหนุ่มรายนี้ด้วย

ด้าน พล.ต.ท.มนตรี ยิ้มแย้ม ผบช. ภ.2 ซึ่งได้เดินทางมายังที่ สภ.เมืองฉะเชิงเทรา เพื่อเรียกประชุมนายตำรวจที่เกี่ยวข้องในการคลี่คลายคดี เปิดเผยว่า ขณะนี้ทราบว่าผู้ก่อเหตุเป็นชาวต่างชาติ 1 คน และอาจจะร่วมมือกับคนไทยในการก่อเหตุ ซึ่งเราจะเร่งดำเนินการ โดยได้แต่งตั้งให้ พล.ต.ต.ธีรพล จินดาหลวง รอง ผบช.ภ. 2 เข้ามาเป็นหัวหน้าทีมในการคลี่คลายคดีนี้แล้ว

โดยมูลค่าของเงินนั้นทราบว่ามียอดเงินนับล้านบาท แต่ยังไม่ทราบจำนวนที่แน่ชัด เนื่องจากมีการโอนเงินไปโอนเงินมา ทั้งทางธนาคารและโอนเงินในช่องทางต่างๆ ซึ่งต้องขอตรวจสอบดูความเคลื่อนไหวในเรื่องของทางการเงินอีกระยะหนึ่งก่อน เบื้องต้นมีผู้ต้องหาเป็นชาวต่างชาติที่มีการฉ้อโกงกันเอง 1 คน ที่สามารถทำการควบคุมตัวมาได้แล้ว และจะติดตามต่อไปอีกว่ามีใครอีกบ้าง

เบื้องต้น จากคำให้การนั้น ต่างฝ่ายต่างระบุว่ามีการหักกันไปหักกันมา แต่เรายังไม่เชื่อเพราะยังเป็นคำให้การของทั้งทางฝ่ายผู้เสียหายและผู้ต้องหาอยู่ ซึ่งก็จะทำการสืบสวนให้ละเอียด เนื่องจากเป็นเรื่องของชาวต่างชาตินั้นยิ่งต้องทำให้ละเอียด และเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องทำให้เกิดความชัดเจนในการทำงาน ต้องขอเวลาให้ตำรวจทำงานสักระยะหนึ่งก่อน

โดยเรื่องเพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน เพียงเมื่อคืนที่ผ่านมานี้เอง แต่ทางตำรวจฉะเชิงเทรา นำโดย พล.ต.ต.ชาคริต สวัสดี ผบก.ภ.จว.ฉะเชิงเทรา นั้น สามารถทำการติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหามาได้แล้ว ก็ถือว่าดีมากแล้ว

ส่วนรายละเอียดนั้นต้องรอให้มีการรายงานให้ทราบว่ามีใครอีกบ้าง ต้องขอให้มีความชัดเจนก่อน ใครกระทำความผิดเราก็จะไม่ละเว้น จะต้องถูกนำตัวมาดำเนินการตามกฎหมายให้ถึงที่สุด พล.ต.ท.มนตรี กล่าว

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า เหตุใดผู้ต้องหาจึงเลือกที่จะเข้ามาก่อเหตุในเมืองไทย และที่ จ.ฉะเชิงเทรา พล.ต.ท.มนตรี ตอบว่า เนื่องจาก ผู้ต้องหานั้นเดินทางเข้าออกประเทศไทยบ่อยครั้งมาก จนมีความรู้จักคุ้นเคยกันกับคนไทยจนมีเพื่อนฝูงหลายคน และคำให้การบางเรื่องอาจจะยังไม่พูดความจริงบ้าง

โดยการสอบสวนยังต้องใช้เวลาค่อยๆ ดู เพราะภาษาต่างๆ นั้น ก็ยังต้องมีการแปลภาษาด้วย จึงเป็นเรื่องยากลำบาก แต่เราก็ได้เชิญให้ทาง ตม.เข้ามาช่วยทำงานด้วย ต้องขอเวลาในการทำความจริงให้ปรากฏ

ส่วนการหลบหนีออกมาได้อย่างไรนั้น ยังคงต้องดูก่อน และบาดแผลจากการถูกทำร้ายตามร่างกายนั้นยังต้องให้ทางแพทย์ช่วยดูและทำการวินิจฉัยด้วย เพราะอาจเป็นเพียงรอยหญ้าคาบาดบ้างก็ได้ หากตอบไปตอนนี้อาจจะผิด แต่ต้องขอชื่นชมที่ตำรวจฉะเชิงเทราสามารถติดตามจับกุมตัวนายคิมมาได้อย่างรวดเร็ว

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook