อัยการแจง ไม่ฟ้อง "ชัยวัฒน์" เพราะสำนวนไม่ชี้ชัด "บิลลี่" ตายแล้วจริง-โดนฆ่าอย่างไร

อัยการแจง ไม่ฟ้อง "ชัยวัฒน์" เพราะสำนวนไม่ชี้ชัด "บิลลี่" ตายแล้วจริง-โดนฆ่าอย่างไร

อัยการแจง ไม่ฟ้อง "ชัยวัฒน์" เพราะสำนวนไม่ชี้ชัด "บิลลี่" ตายแล้วจริง-โดนฆ่าอย่างไร
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

นายประยุทธ เพชรคุณ อัยการพิเศษสำนักงานคดีอาญา 3 ในฐานะรองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ได้เปิดเผยถึงกรณีที่ อัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 1 สั่งไม่ฟ้อง นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน กับพวกรวม 4 คน ในคดีร่วมกันกักขังหน่วงเหนี่ยวทำร้าย และร่วมกันฆ่าอำพรางศพ นายพอละจี รักจงเจริญ หรือ บิลลี่ นักเคลื่อนไหวชาวกะเหรี่ยงบ้านโป่งลึก-บางกลอย จ.เพชรบุรี รวม 7 ข้อหา จากทั้งหมด 8 ข้อหา ที่ดีเอสไอส่งสำนวนฟ้องนั้น

>> "ชัยวัฒน์" รอด อัยการไม่ฟ้องคดีฆ่า "บิลลี่ พอละจี" เหลือข้อหาเดียว ผิด ม.157

จากการตรวจสอบทราบว่า คณะอัยการที่รับผิดชอบสำนวนคดีนี้ ได้พิจารณาพยานหลักฐานจากสำนวนการสอบสวนของพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แล้ว ในสำนวนไม่ปรากฏพยานหลักฐานใดๆว่านายชัยวัฒน์กับลูกน้องได้ฆ่านายบิลลี่ที่ไหนโดยวิธีการอย่างไร

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่ปรากฏหลักฐานใดๆ ด้วยเช่นกันว่านายบิลลี่ได้เสียชีวิตแล้ว ระหว่างที่อ้างว่านายบิลลี่ ถูกกลุ่มของนายชัยวัฒน์ควบคุมตัวนั้น ภรรยาของนายบิลลี่ก็ได้ไปยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดเพชรบุรี ขอให้ศาลมีคำสั่งให้นายชัยวัฒน์ปล่อยตัวนายบิลลี่ที่ถูกจับกุมเรื่องเก็บน้ำผึ้งป่า

การยื่นคำร้องครั้งนั้นผลเป็นที่สุดตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแล้วที่ให้ยกคำร้อง เนื่องจากมีพยานเห็นว่านายบิลลี่ได้ออกมาแล้ว สำหรับพยานหลักฐานที่อ้างเป็นกระดูกของนายบิลลี่ และได้มีการตรวจพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์พบว่า DNA ตรงกันกับนายบิลลี่นั้น ก็เป็นเพียงการตรวจสารพันธุกรรมพิสูจน์บุคคลเท่านั้น

แต่เมื่อในสำนวนยังไม่ปรากฏหลักฐานใดๆ ที่เพียงพอว่านายบิลลี่ เสียชีวิตแล้วหรือไม่อย่างไร คณะทำงานอัยการจึงมีคำสั่งไม่ฟ้องนายชัยวัฒน์และลูกน้องในข้อหาร่วมกันฆ่าฯ โดยมีความเห็นสั่งฟ้องเพียงข้อหาเดียวฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 จากกรณีที่ นายชัยวัฒน์เมื่อจับกุมนายบิลลี่ที่อ้างว่าเก็บน้ำผึ้งป่าแล้วไม่ดำเนินคดี

ในส่วนของกลุ่มลูกน้องนายชัยวัฒน์ ให้สั่งฟ้องในข้อหา เป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ ซึ่งข้อหานี้กฎหมายกำหนดอัตราโทษไว้จำคุกตั้งแต่ 1- 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000 – 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ขั้นตอนหลังจากนี้ อัยการได้ส่งสำนวนกลับไปให้ดีเอสไอ พร้อมแจ้งความเห็นสั่งฟ้องและสั่งไม่ฟ้อง เพื่อให้อธิบดีดีเอสไอ พิจารณาว่าจะเห็นแย้งความเห็นของคณะทำงานอัยการนี้หรือไม่ อย่างไร ซึ่งหากดีเอสไอยืนยันให้ฟ้องทุกข้อหาตามที่แจ้งในสำนวน ก็ต้องให้อัยการสูงสุดเป็นผู้พิจารณาชี้ขาดตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป

อย่างไรก็ตาม ตนได้เตรียมแถลงข่าวคดีนี้ เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนตรงกัน ในวันจันทร์ที่ 27 ม.ค.นี้ ณ อาคารสำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก เวลา 10.00 น.

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook