แอมเนสตี้เผย นักกิจกรรมรุ่นใหม่คือ "ผู้นำการต่อสู้" กับการปราบปรามที่เลวร้ายขึ้นในเอเชีย

แอมเนสตี้เผย นักกิจกรรมรุ่นใหม่คือ "ผู้นำการต่อสู้" กับการปราบปรามที่เลวร้ายขึ้นในเอเชีย

แอมเนสตี้เผย นักกิจกรรมรุ่นใหม่คือ "ผู้นำการต่อสู้" กับการปราบปรามที่เลวร้ายขึ้นในเอเชีย
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล แถลงเปิดตัวรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนประจำปีในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ระบุว่า คลื่นการประท้วงทั่วเอเชียที่มีเยาวชนเป็นแกนนำ ถือเป็นความพยายามในการต่อต้านการปราบปรามที่เพิ่มขึ้นและการจำกัดเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมอย่างสงบทั่วภูมิภาค

รายงาน "สถานการณ์สิทธิมนุษยชนในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ประจำปี2562" นำเสนอบทวิเคราะห์เจาะลึกถึงพัฒนาการด้านสิทธิมนุษยชนใน 25 ประเทศและดินแดน โดยกล่าวถึงบทบาทของนักกิจกรรมรุ่นใหม่ที่ต่อสู้กับความพยายามในการปราบปรามต่อผู้ที่เห็นต่าง การต่อสู้กับปฏิบัติการผ่านโซเชียลมีเดียที่รุนแรง และการเซ็นเซอร์ทางการเมืองอย่างกว้างขวาง

นิโคลัส เบเคลัง ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ และแปซิฟิก แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เผยว่า ปี 2562 นับเป็นปีแห่งการปราบปรามในภูมิภาคเอเชีย แต่ก็เป็นปีแห่งการโต้กลับเช่นกัน ในขณะที่รัฐบาลประเทศต่างๆ ทั่วภูมิภาค พยายามถอนรากถอนโคนเสรีภาพขั้นพื้นฐาน แต่ประชาชนได้ลุกขึ้นมาต่อสู้ขัดขืน และคนหนุ่มสาวเป็นผู้อยู่แนวหน้าของการต่อสู้ครั้งนี้

จากกลุ่มนักศึกษาในฮ่องกง ซึ่งเป็นแกนนำการประท้วงครั้งใหญ่ เพื่อต่อต้านการรุกรานของจีน จนถึงนักศึกษาในอินเดียที่ประท้วงต่อต้านนโยบายที่เป็นปรปักษ์ต่อมุสลิม จากผู้ลงคะแนนเสียงที่เป็นคนรุ่นใหม่ของไทยที่หลั่งไหลไปเลือกพรรคฝ่ายค้านใหม่อย่างท่วมท้น จนถึงผู้ชุมนุมสนับสนุนความเท่าเทียมด้านความหลากหลายทางเพศในไต้หวัน การประท้วงที่แพร่ขยายเป็นวงกว้าง โดยมีเยาวชนเป็นแกนนำทั้งในโลกออนไลน์และโลกแห่งความเป็นจริง กำลังท้าทายกับระบอบอำนาจแบบเก่า

แรงต้านของประชาชนในฮ่องกงเปล่งเสียงสะท้อนก้องโลก

จีนและอินเดีย สองมหาอำนาจใหญ่สุดของเอเชีย ถือเป็นผู้นำแนวทางการปราบปรามไปทั่วภูมิภาค โดยปฏิเสธสิทธิมนุษยชนอย่างสิ้นเชิง ทั้งการที่รัฐบาลจีนสนับสนุนร่างพระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดนในฮ่องกง ซึ่งให้อำนาจรัฐบาลท้องถิ่นส่งผู้ต้องสงสัยไปยังจีนแผ่นดินใหญ่ จุดประกายให้เกิดการประท้วงเป็นวงกว้างในดินแดนแห่งนี้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

นับแต่เดือนมิถุนายน 2562 ชาวฮ่องกงออกมาประท้วงบนท้องถนนอย่างต่อเนื่อง เรียกร้องให้มีการรับผิดต่อปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติมิชอบ ทั้งการใช้แก๊สน้ำตาอย่างโหดร้าย การจับกุมโดยพลการ การทำร้ายร่างกาย และการปฏิบัติมิชอบระหว่างการควบคุมตัว

- ในอินเดีย ประชาชนหลายล้านคนเปล่งเสียงต่อต้านกฎหมายใหม่ ซึ่งเลือกปฏิบัติต่อชาวมุสลิม มีการชุมนุมประท้วงอย่างสงบเป็นวงกว้าง

- ในอินโดนีเซีย ประชาชนลุกฮือต่อต้านการบัญญัติกฎหมายหลายฉบับของสภา ซึ่งคุกคามเสรีภาพของประชาชน

- ในอัฟกานิสถาน ผู้ชุมนุมเสี่ยงภัยออกมาเดินขบวนเรียกร้องให้ยุติความขัดแย้งที่มีมาอย่างยาวนานในประเทศ

- ในปากีสถาน ขบวนการพาชทูน ทาฮัฟฟุซ  เป็นกลุ่มปฏิบัติการโดยไม่ใช้ความรุนแรง เพื่อขัดขืนการกดขี่ของรัฐ พวกเขารณรงค์ต่อต้านการบังคับบุคคลให้สูญหาย และการวิสามัญฆาตกรรม

เสียงที่เห็นต่างนำไปสู่การปราบปราม

การชุมนุมประท้วงและแสดงความเห็นต่างอย่างสงบ มักนำไปสู่การลงโทษที่รุนแรงจากรัฐ ผู้ชุมนุมถูกจับกุมและคุมขังในเวียดนาม ลาว กัมพูชา และไทย เนื่องจากรัฐบาลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีการกดขี่ มีการใช้มาตรการรุนแรงเพื่อปราบปรามฝ่ายตรงข้ามและควบคุมสื่อมวลชน

- ในอินโดนีเซีย คนจำนวนมากถูกสังหารระหว่างที่ตำรวจเข้าไปการปราบปรามการประท้วงและมีการใช้กำลังเกินกว่าเหตุ แต่แทบไม่มีการดำเนินการใดๆ ที่จะนำตัวผู้ทำการสังหารมาลงโทษ ไม่มีการจับกุมเจ้าหน้าที่ตำรวจ และไม่มีแม้แต่การระบุตัวผู้ต้องสงสัย

- ในปากีสถานและบังคลาเทศ นักกิจกรรมและผู้สื่อข่าวตกเป็นเป้าหมายของกฎหมายที่ให้อำนาจรัฐอย่างกว้างขวาง เพื่อจำกัดเสรีภาพในการแสดงออก และลงโทษการแสดงความคิดเห็นต่างบนโลกออนไลน์

- และในฮ่องกง ตำรวจใช้ยุทธการตามอำเภอใจและอย่างไม่เลือกเป้าหมาย เพื่อปราบปรามการประท้วงอย่างสงบ รวมทั้งมีการทรมานระหว่างการควบคุมตัว ในขณะที่ยังไม่มีการปฏิบัติตามข้อเรียกร้องให้สอบสวนอย่างจริงจังต่อการใช้กำลังของเจ้าหน้าที่

ด้าน บีราจ ปัตเนก ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียใต้ กล่าวเสริมว่า ทางการพยายามปราบปรามเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่ว่าในรูปแบบใด และปราบปรามเสรีภาพในการแสดงออก พวกเขาดำเนินการด้วยความรุนแรงตามที่กำหนดไว้ โดยผู้ที่กล้าออกมาพูดวิพากษ์วิจารณ์ต่อต้านรัฐบาลที่กดขี่เหล่านี้ มักได้รับผลกระทบที่รุนแรง 

พวกเขาบอกกับประชาชนในภูมิภาคเอเชียว่า การที่ต้องการเห็นสังคมที่เท่าเทียมกันมากกว่านี้เป็นเรื่องเพ้อฝัน พวกเขาบอกว่าเราไม่สามารถแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจได้ ปัญหาโลกร้อนก็ไม่สามารถแก้ไขได้ และเราไม่อาจหลีกเลี่ยงภัยพิบัติทางธรรมชาติได้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขาบอกเราว่าจะไม่อดทนอดกลั้นกับความพยายามใดๆ ก็ตามที่จะมาท้าทายแนวคิดเหล่านี้

ชนกลุ่มน้อยต้องมาผจญกับกลุ่มชาตินิยมแบบสุดโต่ง

ในอินเดียและจีน แค่มีความเสี่ยงว่าจะมีการขัดขืนในพื้นที่ภายใต้การปกครองของตนเอง ก็อาจทำให้รัฐนั้นๆ ใช้กำลังปราบปรามอย่างกว้างขวาง เพราะชนกลุ่มน้อยมักถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ 

- ในมณฑลซินเจียงของจีน ชาวอุยกูร์และชนกลุ่มน้อยที่ส่วนใหญ่เป็นมุสลิมที่มีจำนวนมากถึงล้านคนถูกควบคุมตัวในค่ายกักกันเพื่อลดความคิดแบบหัวรุนแรง” 

- ในแคชเมียร์ รัฐเดียวของอินเดียที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิม มีการออกกฎหมายยกเลิกสถานะดินแดนปกครองตนเอง ทางการประกาศเคอร์ฟิว ตัดช่องทางการสื่อสารทั้งหมด ทั้งยังควบคุมตัวผู้นำทางการเมืองด้วย

- ในศรีลังกาซึ่งเกิดความรุนแรงเพื่อต่อต้านชาวมุสลิม ภายหลังเหตุระเบิดวันอีสเตอร์ซันเดย์ การที่ประชาชนเลือกนายโกตาเบยา ราชปักษา เป็นประธานาธิบดี ทำให้ความหวังในการพัฒนาด้านสิทธิมนุษยชนริบหรี่ลง

- ส่วนเผด็จการที่มีแนวทางอันเป็นเอกลักษณ์ของตนเองอย่างประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตอร์เตแห่งฟิลิปปินส์ ยังคงทำสงครามปราบปรามยาเสพติด” ที่นองเลือดต่อไป 

รัฐบาลประเทศต่างๆ พยายามหาเหตุผลสนับสนุนการปราบปรามโดยสร้างภาพชั่วร้ายให้กับผู้วิพากษ์วิจารณ์พวกเขา กล่าวหาว่าเป็นลูกสมุนของประเทศมหาอำนาจต่างชาติ” และเพื่อเร่งการปราบปรามโดยใช้ปฏิบัติการที่ซับซ้อนผ่านโซเชียลมีเดีย ทั้ง ASEAN และ SAARC ซึ่งเป็นองค์กรสำคัญระดับภูมิภาคทั้งสองแห่ง ไม่ดำเนินการใดๆ เลยในการลงโทษประเทศสมาชิก แม้จะเกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงก็ตาม

เหลือแต่เพียงศาลอาญาระหว่างประเทศ ซึ่งทำหน้าที่ตรวจสอบอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ซึ่งกองทัพเมียนมากระทำต่อชาวโรฮิงญาในรัฐยะไข่เมื่อปี 2560 โดยศาลดังกล่าวยังพยายามศึกษาข้อมูลกรณีตำรวจสังหารประชาชนหลายพันคนในฟิลิปปินส์ และรับพิจารณาคำอุทธรณ์ต่อคำวินิจฉัยที่ไม่ส่งเจ้าหน้าที่ไปสอบสวนเหตุอาชญากรรมสงครามและอาชญากรรมต่อมนุษยชาติในอัฟกานิสถาน

ในเวลาเดียวกัน ออสเตรเลียมีนโยบายส่งผู้ลี้ภัยและผู้ขอลี้ภัยไปควบคุมตัวในเกาะอันห่างไกลจากชายฝั่ง ซึ่งเป็นการกระทำที่โหดร้าย ส่งผลให้ผู้ลี้ภัยจำนวนมากต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายทั้งทางกายและทางใจ ระหว่างถูกกักตัวในเกาะนาอูรูและแมนัส รวมทั้งปาปัวนิวกินีในมหาสมุทรแปซิฟิก

ความก้าวหน้าท่ามกลางความท้าทาย

คนที่ออกมาพูดต่อต้านความทารุณโหดร้ายมักถูกลงโทษ แต่การยืนหยัดต่อสู้ของพวกเขาทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง มีตัวอย่างมากมายของความพยายามซึ่งนำไปสู่ความก้าวหน้าด้านสิทธิมนุษยชนในภูมิภาคเอเชีย

- ในไต้หวัน มีการออกกฎหมายรับรองการแต่งงานของเพศเดียวกัน ภายหลังการรณรงค์อย่างต่อเนื่องของนักกิจกรรม

- ในศรีลังกา นักกฎหมายและนักกิจกรรมรณรงค์คัดค้านการที่รัฐบาลจะรื้อฟื้นนำการประหารชีวิตกลับมาใช้ใหม่จนประสบความสำเร็จ 

- บรูไนถูกบีบให้ต้องระงับการบังคับใช้กฎหมายที่กำหนดให้การเฆี่ยนตีเป็นบทลงโทษกรณีการมีเพศสัมพันธ์นอกสมรส และการมีเพศสัมพันธ์ของชายกับชาย

- ในขณะที่ อดีตนายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซักแห่งมาเลเซีย ต้องขึ้นศาลในคดีทุจริตเป็นครั้งแรก 

- รัฐบาลปากีสถานสัญญาจะแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และมลพิษทางอากาศ

- ส่วนที่มัลดีฟส์มีการแต่งตั้งผู้หญิงสองคนเป็นผู้พิพากษาในศาลฎีกาเป็นครั้งแรก 

- และในฮ่องกง พลังของการประท้วงบีบให้รัฐบาลต้องถอนร่างกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน แต่ยังคงไม่มีความรับผิดของผู้ที่ปฏิบัติมิชอบต่อผู้ชุมนุมในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป

ในปี 2562 แม้ผู้ชุมนุมทั่วภูมิภาคเอเชียต้องเสียเลือดไปบ้าง แต่ก็ยังไม่ท้อถอย พวกเขาอาจถูกปิดปาก แต่ไม่ยอมเงียบเฉย พวกเขาทั้งหมดได้ส่งเสียง เพื่อแสดงอารยะขัดขืนต่อรัฐบาลประเทศต่างๆ ที่ยังคงละเมิดสิทธิมนุษยชนเพื่อหาทางกระชับอำนาจของตนเอง” นิโคลัส กล่าวทิ้งท้าย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook