เรื่องจริงจากใจ "แคทรียา อิงลิช" เผชิญโรคซึมเศร้านับสิบปี เรียนรู้ความเข้มแข็งของใจและคำว่าสติ
หากพูดถึงชื่อ แคททรียา อิงลิช เชื่อว่าสิ่งที่ทุกคนนึกถึงสาวลูกครึ่ง สวย เก่ง ร้องเพลงเพราะมาพร้อมกับตำแหน่ง Princess of dance ที่เป็นไอดอลของสาวๆ หลายคนในยุค90 และแม้เวลาจะผ่านไปจนตอนนี้เจ้าตัวย่างเข้าสู่วัย 43 ปี แต่ก็ยังมีผลงานออกมาให้แฟนๆ ได้เห็นตลอด โดยเฉพาะช่วงนี้ที่เจ้าตัวโหมถ่ายละครหนักหลายเรื่อง จนแทบจะเห็นหน้าของเธอในทุกๆ ช่อง หนึ่งในนั้นคือละครเรื่อง "เรือนสายสวาท" ทางช่อง 8 ที่เรื่องนี้เล่นเอาสาวแคทเครียดหนักจนล้มหมอนนอนเสื่อ
และเมื่อมีโอกาสได้พูดคุยกับสาวแคทจึงต้องขออัพเดทถึงเรื่องอาการป่วย พร้อมกับอีกเรื่องที่หลายคนยังไม่รู้ว่าในลุคสดใส ยิ้มแย้มของ ควีน ออฟ แดนซ์ คนนี้ เบื้องลึกแล้วสาวแคทเผชิญกับโรคซึมเศร้ามากว่า 10 ปี และเธอต้องต่อสู้กับจิตใจตัวเอง รวมทั้งสภาวะความกดดันต่างๆ มามากมาย
เห็นว่าถ่ายละครหนักจนทรุดเข้าโรงพยาบาล?
"เราเป็นไข้ในช่วงแรกแล้วบวกกับถ่ายละครหนักมากในวันนั้นก็ถ่ายประมาณ 30 กว่าฉาก ทุกครั้งที่ถ่ายไม่เคยต่ำกว่า 30 ฉากต่อวัน ซัดยาวเลยไม่มีพัก และวันนั้นวางเบรกผิดไปนิดนึงคือ โดนฉากหนักๆ ติดกันเลย 3 ฉาก คือ ฉากกรี๊ด ร้องไห้ สติแตก แล้วเวลาเราเล่นเราไม่กั๊ก ไม่ยั้งใดๆ ทั้งสิ้น เวลาเราเข้าไปเป็นตัวละครตัวนั้นแล้วเราอิน เราไปสุด เพราะเรารู้สึกว่าถ้าเล่นแล้วมาออม มากั๊กแล้วเราจะเล่นเพื่ออะไร ดังนั้นเวลาเราไปสุดมากๆ เราใช้พลังเยอะจนเราไม่รู้ตัวร่างกายเลยช็อก พอมานั่งกินข้าวก็มีความรู้สึกจะวูบก็เลยต้องแวะไปฉีดยาก่อนแล้วกลับมาทำงานต่อจนเสร็จสี่ทุ่มกว่า ทีนี้พาตัวเองไปโรงพยาบาลเลย สรุปต้องแอดมิทนอนให้น้ำเกลือ ให้ยาฆ่าเชื้อต่างๆ นอนห้องฉุกเฉินคืนนึงกลับมาก็ทำงานต่อค่ะ"
ตอนนี้เห็นหน้าแคทในทุกช่องเลย?
"ค่ะ (หัวเราะ) ตอนนี้ถ่ายอยู่ 3 เรื่อง ถามว่าทำไมรับละครเยอะ คือ เรื่องมันดี เราอ่านบทแล้วอยากเล่น เป็นเรื่องราวที่ดี บทดี เลยรู้สึกว่าปฏิเสธไม่ได้จริงๆ"
หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่าแคทคือหนึ่งคนที่เผชิญกับภาวะโรคซึมเศร้า ความเครียดในการทำงานส่งผลบ้างไหม?
"ตอนที่มาถ่ายเรือนสายสวาท ตอนแรกเลย แคทไม่รู้ว่ามีฉากหนักต้องกรี๊ดแตกให้ทุกอย่างพังพินาศ พอเรารู้ว่าต้องหนักเลยตั้งแต่ฉากแรกก็ช็อกมากแบบวันแรกเอาขนาดนี้เลยเหรอ ตายแล้ว (หัวเราะ) พอเล่นเสร็จเราดิ่ง สะอื้น ตัวสั่น เราเอาตัวเองหลุดจากอารมณ์นั้นไม่ได้ สุดท้ายต้องโทรไปหาจิตแพทย์ รู้สึกเครียดกลับบ้านไปอยากกรี๊ด อยากร้องไห้ วันนั้นทั้งวันซึมไปเลย แต่ทำงานได้นะเพียงแค่อยากอยู่คนเดียว อย่าเพิ่งเข้ามาพูดอะไร แต่ดีที่ว่าในกองทุกคนทำให้เราสนุกและสบายใจ เราเองก็พยายามเตรียมพร้อมร่างกาย จิตใจทุกวัน"
แคทอยู่กับภาวะซึมเศร้านี้มานานแค่ไหนแล้ว?
"สิบกว่าปีแล้วค่ะ คือ บางคนอาจจะยังไม่เข้าใจสภาวะของคนเป็นโรคซึมเศร้านะคะ บางคนอาจจะมองว่า เป็นอะไรวะ? ทำไมหงุดหงิดง่ายจัง? ซึ่งต้องบอกว่าบางทีมันควบคุมไม่ได้จริงๆ นะ บางทีสิ่งแวดล้อมก็ไม่ได้ช่วยนอกจากคนที่เข้าใจจริงๆ ว่าบางทีเราอยากอยู่นิ่งๆ ถ้ายิ่งบางคนมาอะไรกับเรามากๆ มาบอกว่าอย่าคิดมากนะ ใจเย็นๆ นะ หรือให้ยิ้มหน่อย เราจะยิ่งรู้สึกว่าอย่ามายุ่งกับฉัน น่ารำคาญ ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน แล้วจะคิดเล็กคิดน้อยทุกอย่างเลยนะ เช่น เพื่อนนัดกันไปทานข้าวแล้วไม่ได้ชวนเรา ซึ่งเขาอาจจะคิดว่าเรางานยุ่ง แต่พอเราไปเห็นเราจะรู้สึกว่า ใช่สิ เรามันไม่สำคัญ ใช่สิ เรามันไม่ดี ใช่สิ เธอไม่นึกถึงฉันเลย จะรู้สึกว่าเราไม่มีความสำคัญในชีวิตใครเลย ทั้งๆ ที่คนรอบข้างเขาอาจจะไม่ได้คิดอะไร ความคิดทุกอย่างจะไปในทางลบหมดเลย"
นอกจากพบแพทย์ ทานยา แล้วมีวิธีรับมือกับอาการยังไงบ้าง?
"อยู่ที่จิตใจอย่างเดียวเลย เราต้องมีสติ บางคนมีอารมณ์ชั่ววูบแล้วฆ่าตัวตาย ซึ่งคนที่ไม่เข้าใจอาจจะมองว่า "ทำไมโง่จัง เรื่องแค่นี้ฆ่าตัวตาย" เราอยากจะบอกว่าคนไม่ได้เป็นนั้นไม่เข้าใจสิ่งที่เขาเป็นหรอก คุณไม่มีทางเข้าใจสภาวะที่เขาเจออยู่ มันเป็นอารมณ์ชั่ววูบจริงๆ
แคทเองก็เคยคิดนะว่าถ้าฉันกระโดดตึกลงไปตอนนี้มันจะรู้สึกยังไง มันจะเจ็บไหม ถึงพื้นแล้วมันจะน็อกเลยไหม จะตายเลยไหม แต่ถ้าเราทำลงไปแล้วคนข้างหลังเราล่ะ คุณแม่ น้องชาย คนที่รักเราเขาจะเป็นยังไง มันจะเห็นแก่ตัวเกินไปไหม ซึ่งนี่แหละ คือ สติ ใช่ เรามีอารมณ์ชั่ววูบ แต่ถ้าเรามีสติดึงตัวเองขึ้นมาให้ได้ อาจจะไม่มาก แต่อย่างน้อยก็ขอให้มีสักหน่อยเพื่อที่จะดึงตัวเองออกจากความคิดแบบนั้น
ต้องยอมรับว่าบางคนดึงตัวเองไม่ได้จริงๆ มันอยู่ที่จิตใจของเรามากๆ ว่าเราจะเข้มแข็งพอหรือเปล่า บางคนอาจจะรู้สึกว่าทำไม่ได้ ทำไม่ได้ ถ้าถามแคทว่าทำได้ไหม เราทำได้ แต่ถามว่ายากไหม ก็ยากมาก เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีคนฆ่าตัวตาย มันอยู่ที่ใจจริงๆ แคทก็มีแว๊บๆ ที่คิดว่าไม่อยู่แล้วจะดีไหม แต่ไม่เคยคิดว่าไม่อยู่แล้วดีกว่า เพราะอย่างที่บอกเราต้องมีสติ"
"และอีกสิ่งที่น่าจะช่วยได้บ้าง คือ บ้านเราอาจจะต้องสนับสนุนเรื่องของการให้คำปรึกษาเรื่องสุขภาพจิต และสร้างการรับรู้ว่ามีตัวช่วยตรงนี้นะ แต่บางคนเขาก็ไม่ยอมรับ ไม่ยอมที่จะพบจิตแพทย์เพราะรู้สึกว่า ฉันไม่ได้บ้านะ แต่เอาจริงๆ ไม่ใช่บ้าหรือไม่บ้าแต่แพทย์เขาเรียนมาเพื่อช่วยตรงนี้โดยเฉพาะ มันไม่ใช่เรื่องน่าอับอายอะไรเลย
แคทเคยคุยกับคนที่เป็นเหมือนกัน อยู่ดีๆ กินยานอนหลับเข้าไป 30 เม็ด แล้วฟื้นขึ้นมา มันไม่มีอะไรดีขึ้น มันทรมานกว่าเดิมซะอีก นี่แหละคือบทเรียนว่าทำไปแล้วไม่มีอะไรดีขึ้นเราต้องหาทางออกทางอื่น ถ้าเราเริ่มเครียด เริ่มดิ่ง เราฟุ้งซ่าน เราต้องหาอะไรทำ กิจกรรมอะไรที่จะดึงเราออกจากตรงนั้น แต่ถ้าเราเศร้าแล้วเรายิ่งคิดวนเวียนว่าเราเศร้าๆ ฉันดึงตัวเองออกมาไม่ได้ ฉันจะไปจากโลกนี้ดีกว่าไหม มันก็วนอยู่ตรงนั้น
"บางคนไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นเพราะไม่อยากรู้สึกว่าตัวเองเป็นโรค ซึ่งความจริงมันช่วยไม่ได้เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว เราต้องยอมรับว่าเราเป็นแต่เราจะเอาตัวเองออกมายังไง จะทำยังไงให้ตัวเองดีขึ้นนั่นแหละสำคัญ ซึ่งถ้าเราทำขั้นแรกได้เราจะภูมิใจและมีกำลังใจทำต่อ แต่ไอ้จุดแรกนี่แหละเป็นจุดวัดใจว่าเราจะทำได้ไหม"
กับการเป็นคนดัง อยู่ในวงการบันเทิงที่คนที่ไม่เป็นซึมเศร้ายังอยู่ยาก สำหรับแคทมันยากลำบากแค่ไหน?
"มันยากอยู่แล้ว เพราะสภาวะแวดล้อมไม่ใช่แค่เรื่องการแสดง แต่ประกอบไปด้วยเรื่องข่าว เรื่องกระแสวิพากษ์วิจารณ์ และต้องยอมรับว่าปัจจุบันข่าวไปทางลบประมาณ 80 เปอร์เซ็น ยิ่งการเป็นคนมีชื่อเสียง บางทีอยู่เฉยๆ ยังมีเรื่องเลย เราก็งง ฉันไม่รู้เรื่อง ฉันทำตอนไหน? อะไรแบบนี้ การอยู่จุดนี้เวลามีอะไรขึ้นมาคนที่ยังไม่รู้อะไรเลยด้วยซ้ำยังสามารถด่าเราได้
ดารากับการเป็นโรคซึมเศร้ามันมีอยู่แล้ว เพราะปัจจุบันมีเรื่องเข้ามาทำร้ายจิตใจเยอะมาก เราอยู่เฉยๆ ยังมีเรื่องเสียๆ หายๆ ได้เลย เพราะฉะนั้นแคทเลือกที่จะเอาเรื่องพวกนี้ออกให้หมดไม่อยากจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับอะไร การเป็นนักแสดงเป็นอาชีพของเรา แต่อาชีพไม่ใช่ชีวิต เพราะฉะนั้นอะไรที่ไม่เกี่ยวกับอาชีพเราตัดออกทั้งหมด ข่าวที่ออกมาก็ไม่แก้เพราะคนที่เขารู้จักเราจริงๆ เขารู้อยู่แล้วว่าเราเป็นยังไง"
"มีนะที่แคทเคยโดนข่าวว่าเหวี่ยง เรื่องเยอะ เราก็มานั่งดูตัวเอง เราเป็นตอนไหนนะ แต่ถามว่ามีหงุดหงิดไหม มีนะ แต่สาเหตุที่ทำให้เราเป็นแบบนั้นมันเพราะอะไรล่ะ ก็เพราะคนรอบข้างบางคนทำงานแปลกๆ เราทำงานมาเรารับผิดชอบตัวเองทุกอย่าง แต่ถ้ามาเจอคนที่ไม่รับผิดชอบเราก็อาจจะมีหงุดหงิดบ้าง เพราะฉันมาทำงานฉันอยากทำงานไม่ได้มานั่งเล่น
ส่วนใครที่เข้ามาซ้ำเติมเราเราก็คิดว่า โอเค ไม่เป็นไร เขาไม่รู้จักเรา แต่อยากจะเตือนสติไว้สักหน่อยถึงคนที่ชอบบูลลี่ ขอให้เลิกสักที ในสังคมเรามันก็แย่พอแล้วเพราะฉะนั้นหยุดเถอะเรื่องการบูลลี่ การซ้ำเติมคนอื่น ถ้าคุณไม่รู้จักเขาจริงๆ อย่าด่วนตัดสินว่าเขาเป็นคนแบบไหน"
"เราไม่ได้อยู่ตรงนั้น เราอาจจะไม่รู้ความจริงอย่าด่วนตัดสินใจ อย่าวิพากษ์วิจารณ์เพราะแค่มันส์มือ บางคนพูดว่าแคทเป็นแบบนั้นแบบนี้ เหรอ! คุณรู้จักฉันเหรอ? ฉันไม่เห็นรู้จักคุณเลย เรื่องราวที่แท้จริง ส่วนใหญ่ไม่มีใครรู้หรอก ก็แล้วแต่จะคิดก็แล้วกันเราบังคับคุณไม่ได้อยู่แล้ว บางทีบางเรื่องคนเขียนก็ไม่ได้รู้เรื่องจริง แค่อาจจะได้ยินมาแล้วเอาไปเขียน พอเขียนเราเสียหาย เราออกมาพูดก็ว่าเราแก้ตัว ก็เอาเป็นว่าไม่พูดแล้วกันเดี๋ยวก็รู้กันเอง เราไม่สะทกสะท้านแล้ว เมื่อก่อนยอมรับว่ารู้สึกท้อนะ รู้สึกเบื่อ เหนื่อยกับสิ่งที่เข้ามาหาตัวเรา อยู่เฉยๆ ยังโดนด่าได้เลย แต่หลังๆ ก็ปล่อยแล้ว เราบังคับให้ใครคิดอะไรไม่ได้อยู่แล้ว"
เพราะความวุ่นวายของยุคสมัยนี้หรือเปล่าที่ทำให้แคทไม่พูดเรื่องความรักเลย?
"ไม่เอาไม่พูด เพราะมันตีความได้หลายอย่างเพราะฉะนั้นเลือกจะไม่พูดเลยจะดีกว่า จะมีหรือไม่มีคนรักมันเรื่องของเราคนเดียว แต่ถ้าแต่งงานก็รู้กันเองแต่ ณ เวลานี้ เราจะคุยกับใครไม่คุยกับใครไม่ต้องให้ใครรับรู้หรอกเดี๋ยวก็ตีความผิดกันไปมันวุ่นวาย เพราะเท่าที่เจอมาก็วุ่นวายมาเยอะแล้ว พอเถอะ เราต้องมีบาลานซ์ในชีวิต ถ้าบอกว่าเรื่องส่วนตัวมันก็คือเรื่องส่วนตัว ถ้าถามว่าทำไมไม่เปิดเรื่องส่วนตัว คำตอบก็เพราะมัน คือ เรื่องส่วนตัวไง"
สิบกว่าปีกับโรคซึมเศร้า มันพาแคทไปถึงจุดไหนบ้าง?
"มันทำให้แคทได้เรียนรู้เรื่องความเข้มแข็งของจิตใจ เรื่องของสติ ทุกอย่างมันอยู่ที่ตัวเราคนเดียวจริงๆ บางทีมันก็มีความรู้สึกว่า "เราไม่ไหวแล้ว ไม่ยากอยู่แล้ว" แต่หลังจากความคิดชั่ววูบนั้นมันมีสติเข้ามาว่า เห้ย! ไม่ได้ เราผ่านมันมาขนาดนี้แล้ว อยู่ดีๆ เราจะยอมแพ้ทำไม มองคนที่เขารักเรา ห่วงเรา เราต้องเข้มแข็ง ถ้าเราทำตามอารมณ์ชั่ววูบ เราตายไป เราไม่อยากรู้เหรอว่าหลังจากนี้ทุกอย่างจะเป็นยังไง ถ้าเราอยู่เรายังสามรถช่วยคนหลายๆ คนได้อีกเยอะเลย เพราะฉะนั้นเราต้องเข้มแข็งและสติ คือ สิ่งสำคัญค่ะ"
เมื่อได้ฟังสิ่งที่สาวแคทแชร์ให้ฟังแล้วแทบไม่น่าเชื่อว่า สาวสวย สตรองที่ไม่ว่าจะเจอที่ไหนก็มีแต่ความสดใสให้แฟนๆ จะต้องสู้กับสภาพจิตใจที่ย่ำแย่จากโรคซึมเศร้ามาขนาดนี้ และเชื่อว่าเรื่องที่สาวแคทได้เล่ามาจะเป็นประโยชน์ไม่น้อยสำหรับอีกหลายๆ คนที่อาจจะเจอปัญหาหรือตกอยู่ในสภาวะเดียวกันกับเธอ
สำหรับแฟนๆ ของสาวแคทก็อย่าลืมติดตามและให้กำลังใจเธอต่อไปเพราะตอนนี้เจ้าตัวลุยงานหนัก คัดสรรแต่บทบาทดีๆ มาให้แฟนๆ ได้ชมกันอย่างเต็มอิ่มแน่นอน
- ทำความเข้าใจ “ซึมเศร้า” คือโรค ต้องรักษากับหมอ หายเองไม่ได้
- สัญญาณอันตราย “โรคซึมเศร้า” เสี่ยง “ฆ่าตัวตาย-ทำร้ายตัวเอง”
อัลบั้มภาพ 40 ภาพ