สาวเหยื่อหมอจูบปาก มีรถมินิ 4คัน โต้แบล๊คเมล์
มูลนิธิเพื่อนหญิงฯออกโรงทวงจริยธรรมแพทย์หนุนเหยื่อสาวถูกลวนลามเต็มที่ ระบุไม่ใช่รายแรก 2ปีก่อนเคยมี1ราย หญิงสาวถูกจูบปากโต้ไม่ได้แบล๊คเมล์หมอ แค่อยากให้หลาบจำกับการกระทำปกป้องศักดิ์ศรี ยันครอบครัวไม่ได้ลำบาก พบรถมินิคูเปอร์จอดเรียงในบ้าน 4 คัน
จากกรณีที่มีสาวร้องขอความเป็นธรรมถูกหมอฟันลอบจูบระหว่างผ่าตัดฟันคุดและแพทย์อ้างว่าต้องการแบล๊คเมล์นั้น
เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม ผู้สื่อข่าว"มติชน"เดินทางไปยังบ้านของหญิงสาวคนดังกล่าวซึ่งอยู่ย่านเมงจ๋าย บ้านหลังดังกล่าวเป็นบ้านหลังใหญ่ ภายในบ้านตกแต่งอย่างดี พร้อมทั้งยังมีรถมินิคูเปอร์จอดอยู่ 4 คัน มีรถจักรยานยนต์ฮาร์เลย์อีก 1 คัน นอกจากนี้ด้านหน้าของบ้านเปิดเป็นร้านอาหารอีกด้วย
จากการสัมภาษณ์หญิงสาวเหยื่อหมอฟัน เปิดใจถึงกรณีที่แพทย์คนดังกล่าวบอกว่า กรณีที่เกิดขึ้นเป็นขบวนการแบล๊คเมล์ ซึ่งเธอให้สัมภาษณ์ว่า สิ่งที่ออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมเพราะต้องการให้คนที่ได้ชื่อว่าเป็นหมอ ตระหนักในจริยธรรม และการที่บอกว่าต้องการแบล๊คเมล์เพื่อเอาเงินนั้นขอชี้แจงเลยว่า ตนและครอบครัวไม่ได้ลำบากถึงขั้นนั้น
"อย่างที่บอกไปแล้วว่า ตัวเลขที่เราเรียกร้องไปนั้นทำเพื่อต้องการให้หมอเข็ดหลาบและรู้จักรับผิดชอบกับการกระทำที่ได้ทำลงไป ซึ่งจริงๆแล้วเราไม่ได้ต้องการเงินทอง แต่ผู้ใหญ่ได้เข้ามาไกล่เกลี่ยอยากให้เรื่องมันจบ เราจึงยอมถอยด้วยการเรียกร้องค่าเสียหายแทน ไม่ใช่จะยอมให้ทุกอย่างจบลงโดยที่หมอไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย อีกทั้งหลังจากที่เราเรียกร้องค่าเสียหายไปแล้ว หมอคนดังกล่าวก็ยังมาเจรจาขอต่อรองราคาให้ลดราคาลงมาอีก ถามว่าเมื่อหมอได้เข้ามาต่อรองราคามันหมายความว่าอย่างไร แต่เมื่อมาถึงวันนี้แล้วเราไม่ได้ต้องการอะไรแล้ว นอกจากความรับผิดชอบของคนที่ได้ชื่อว่าหมอ"หญิงสาวกล่าว
หญิงสาวรายเดิมกล่าวว่า ก่อนหน้าที่จะเกิดกรณีจูบปากนั้น เธอพยายามมองในแง่ดีว่า บางครั้งการที่หมอคนดังกล่าวเอาแขนมาโดนหน้าอกนั้นมันไม่ใช่ความตั้งใจ เพราะในใจคิดเสมอว่า หมอคนดังกล่าวก็อายุมากแล้ว ภรรยาที่เป็นหมอฟันก็ทำงานอยู่คลีนิคเดียวกัน พยายามคิดว่า มันเป็นความบังเอิญก็พยายามคิดในแง่บวกเอาไว้ แต่พอมาระยะหลังเริ่มไม่สบายใจ เริ่มกังวล ไม่อยากรักษากับแพทย์ผู้ชาย ตนก็พยายามนัดรักษาฟันกับแพทย์ผู้หญิงมาโดยตลอด แม้กระทั่งวันที่เกิดเหตุก็ตาม ได้นัดรักษากับแพทย์ผู้หญิง ซึ่งเมื่อเริ่มรักษาแพทย์ผู้หญิงยังคงฉีดยาชาให้ แต่ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมมีการเปลี่ยนให้แพทย์ผู้ชายเข้ามารักษาโดยไม่บอกก่อน ทั้งนี้เรื่องการเลือกแพทย์ในการรักษานั้น คนไข้น่าจะมีสิทธิ์ตัดสินใจ ในเมื่อคนไข้ไม่ไว้วางใจพฤติกรรมของแพทย์คนดังกล่าว
"การตัดสินใจเรียกร้องความเป็นธรรมในครั้งนี้ ดิฉันต้องการความเป็นธรรมจริงๆ จริยธรรมของคนเป็นแพทย์อยู่ตรงไหน เขาเป็นใครมีสิทธิ์อะไรมากระทำแบบนี้ แม้ดิฉันจะไม่ใช่ลูกคนดัง ไม่ใช่ครอบครัวใหญ่โต ดิฉันเป็นเพียงผู้หญิงธรรม แต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้ และไม่มีสิทธิ์ทำอย่างนี้กับผู้หญิงคนอื่นเหมือนกัน ดิฉันคิดไตร่ตรองดีแล้วว่าถึงอย่างไรก็ต้องสู้ อย่างน้อยๆก็สู้เพื่อศักดิ์ศรีของตัวเอง ที่สำคัญหลายคนอาจมองว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา แต่สำหรับดิฉันการกระทำของหมอคนดังกล่าวนี้มันการละเมิดสิทธิของผู้หญิง ที่สำคัญมันผิดจรรยาบรรณของอาชีพหมออย่างร้ายแรงที่ฉวยโอกาสกับคนไข้"
นางสาวสุเพ็ญศรี พึ่งโคกสูง หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิสตรี มูลนิธิเพื่อนหญิง เปิดเผยว่า กรณีนี้ไม่ได้เพิ่งเกิดเป็นรายแรก แต่เป็นรายที่ 2 เพราะเคยมีกรณีทันตแพทย์ลวมลามผู้หญิงเมื่อ 2 ปีก่อน โดยมูลนิธิฯ ได้รับการร้องเรียนจากผู้เสียหายว่าเป็นทันตแพทย์คลินิกแห่งหนึ่งย่านประดิพัทธ์ แต่เมื่อถึงชั้นสู้คดี คดีกลับเงียบหายไป ซึ่งตนไม่ต้องการให้คดีนี้เงียบหายไปเหมือนกรณีแรก อยากให้ผู้หญิงที่ถูกกระทำออกมาปกป้องสิทธิตนเอง
"มูลนิธิฯ ได้นัดคุยกับผู้เสียหายในวันที่ 18 กรกฎาคมเพื่อเตรียมความพร้อมในการดำเนินคดีในชั้นศาลต่อไป อีกทั้งจะให้ผู้เสียหายเข้าคอร์สฟื้นฟูจิตใจด้วย เพราะขณะนี้ผู้เสียหายมีสภาพที่จิตใจหดหู่ แต่โชคดีที่ผู้เสียหายมีกำลังใจดีจากคนในครอบครัว ทำให้กล้าออกมาสู้เพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรีของผู้หญิง"
สำหรับกรณีที่ทันตแพทย์ผู้ถูกกล่าวหาให้สัมภาษณ์ว่าถูกแบล๊คเมล์นั้น นางสาวสุเพ็ญศรี กล่าวว่า เป็นข้ออ้างอย่างหนึ่งของผู้ถูกกล่าวหาที่จะออกมาแก้ตัวในลักษณะดังกล่าว การที่จะยอมรับว่าทำจริงเป็นสุภาพบุรุษนั้น ไม่มีแน่นอน แต่ถ้าหากมีการยอมรับว่าทำผิดจริง ส่วนใหญ่จะให้การว่าผู้หญิงยินยอมพร้อมใจ ซึ่งตนคิดเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
ด้านนางสาวอุษา เลิศศรีสันทัด ผู้อำนวยการมูลนิธิผู้หญิง กล่าวว่า จากกรณีดังกล่าวทันตแพทยสภาควรเข้ามาให้ความดูแลเรื่องนี้และเห็นเป็นประเด็นสำคัญ อย่าคิดว่าการถูกลวนลามไม่ถึงขั้นข่มขืนเป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะหากปล่อยไว้อาจมีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นตามมาได้
"เรื่องแบบนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นกับคนเป็นหมอ เพราะเป็นคนที่ช่วยเหลือคุ้มครองคนอื่น การกระทำแบบนี้ทำให้สังคมเสื่อมศรัทธาบุคคลในวิชาชีพนี้ ซึ่งเป็นบุคคลที่สังคมให้ความเคารพนับถือ"
ส่วนกรณีที่ผู้เสียหายออกมาเรียกร้องค่าเสียหายเป็นจำนวนเงิน 3 แสนบาท นางสาวอุษา กล่าวว่า เห็นด้วยที่ผู้เสียหายเรียกร้องค่าเสียหาย เพื่อผู้กระทำเกิดความหลาบจำและไม่ก่อเหตุซ้ำอีก เป็นการเรียกคืนศักดิ์ศรีของผู้หญิง ทั้งที่รู้ว่าการออกมาสู้คดีจะทำให้ตนเองเสียหายมากขึ้น ซึ่งจริงๆแล้ว ผู้หญิงไม่จำเป็นต้องออกมาสู้คดี เพื่อแลกกับชื่อเสียงที่จะถูกสังคมมองอย่างอคติก็ได้
"อยากให้กรณีนี้เป็นตัวอย่างกับแพทย์ทุกคน ให้เคารพในเนื้อตัวร่างกายของคนไข้ ไม่ใช่จะทำอะไรก็ได้" นางสาวอุษากล่าว