เจาะกระแสรับผิดชอบตัวเอง วัยรุ่นยุคนี้ต้องพกถุง
ใครๆ ก็รู้ว่า การมีเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องธรรมชาติ แต่พอเป็นเพศสัมพันธ์ในวัยรุ่นกลับเป็นเรื่องทำใจยากของใครหลายคน ซึ่งความกังวลเหล่านี้เป็นเรื่องเข้าใจได้ อย่างไรก็ตาม การห้ามหรือคอยไปเฝ้าจับตามองวัยรุ่นที่มีฮอร์โมนพลุ่งพล่านตลอดเวลาก็คงเป็นไปได้ยาก ซ้ำร้ายจะกลับกลายเป็นการปิดโอกาสในการพูดคุย และให้คำแนะนำที่ถูกต้องแก่วัยรุ่น ซึ่งอาจทำให้มีปัญหาตามมาคือ วัยรุ่นจำนวนหนึ่งตัดสินใจลองผิดลองถูก หรือเลือกรับข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง จนก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์
จากข้อมูลการเฝ้าระวังพฤติกรรมที่สัมพันธ์กับการติดเชื้อเอชไอวีของกลุ่มนักเรียน นักศึกษา ในปี 2560 โดยกรมควบคุมโรค พบว่าวัยรุ่นมีแนวโน้มการมีเพศสัมพันธ์เร็วขึ้น โดยอายุเฉลี่ย 13-15 ปี และไม่ใช้ถุงยางอนามัยในการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก ถึงร้อยละ 30
สอดรับกับข้อมูลจากกองระบาดวิทยาที่เก็บข้อมูลการเฝ้าระวังโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในรอบ 10 ปี ตั้งแต่พ.ศ.2552 – 2562 พบเยาวชนอายุ 15-24 ปี ติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สูงขึ้นกว่า 2 เท่า นอกจากตัวเลขทางสถิติ เรายังมีเรื่องจริงของวัยรุ่นคู่หนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของวัยรุ่นที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์โดยปราศจากคนคอยแนะนำ
คืนเดียวไม่มีลืม
นายบิ๊ก (นามสมมุติ) อายุ 17 ปี กำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เป็นหูดหงอนไก่ที่อวัยวะเพศ และติดเชื้อซิฟิลิส เล่าที่มาที่ไปให้ฟังว่า “ผมไปเที่ยวกลางคืน แล้วไปมีอะไรกับผู้หญิงที่เจอกันคืนนั้นแล้วดันไม่ได้ป้องกัน ก็ตอนนั้นไม่ได้คิดว่าจะไปมีอะไรกับใคร แต่บรรยากาศมันพาไป...
มาเริ่มรู้ตัวอีกที ตอนมีแผลที่อวัยวะเพศ และปัสสาวะแสบขัด เลยลองหาข้อมูลดู จึงสงสัยว่า ตัวเองอาจติดโรคมา ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยรู้จักโรคพวกนี้เลย
วันแรกที่ไปหาหมอ กลับถึงบ้านไข้ขึ้นเลย รู้สึกจิตตก เพราะหมอบอกว่าต้องรักษาด้วยการจี้ออก ยิ่งตอนที่รู้ว่าเป็นซิฟิลิสก็กลัวมาก เพราะที่อ่านมา อาจถึงขั้นเป็นอัมพาตหรือตายได้
เมื่อถามถึงผลกระทบที่ได้รับ บิ๊กตอบว่า“การเรียนก็ตก บางทีก็อดไปทำกิจกรรมกับเพื่อน เพราะต้องไปหาหมอ เวลาโดนฉีดยาที่ก้นจะปวดมาก แถมมีอาการข้างเคียงด้วย บางครั้งจะกระสับกระส่าย นอนไม่หลับ... หลังจากนี้เข็ดแล้วครับ ใช้ถุงยางแน่นอน”
เจ็บเพราะไว้ใจ
นางสาว นก (นามสมมุติ) อายุ 18 ปี กำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เป็นหูดหงอนไก่ “คบกับแฟนมาได้ 3 เดือน ก็มีอะไรกับเขา แล้วก็ติดเชื้อหูดหงอนไก่มา เลยมารู้เอาตอนนั้นว่า เค้าแอบไปมีอะไรกับคนอื่นมาหลายคน ทั้งโกรธ ทั้งเสียใจ เพราะเราอุตส่าห์เชื่อใจ... ความจริงเวลามีอะไรกัน ก็ป้องกันนะ แต่บางครั้งเขาบอกว่า ไม่ได้พกมา เราก็ไว้ใจ เลยยอม แต่หลังจากนี้จะต้องป้องกัน ให้ใส่ถุงยาง ถ้าไม่มี คงไม่ยอมแล้ว”
คุณหมอขอเตือน
ท้ายสุดเราได้พูดคุยกับ คุณหมอเฟิร์น พญ.ธันยนันท์ กังวาฬพรโรจน์ แพทย์ประจำโรงพยาบาลบางรัก สำนักโรคเอดส์ วัณโรค และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค ซึ่งเป็นแพทย์ที่ดูแลรักษาวัยรุ่นทั้งคู่นี้ซึ่งกำชับเพิ่มเติมว่า "วัยรุ่นติดโรคจากคนรักเยอะมาก ดังนั้นถ้าใครมีอาการผิดปกติกับร่างกาย โดยเฉพาะตรงอวัยวะเพศให้มาหาหมอทันที การรักษาไม่ยากถ้ามารักษาเร็ว ขอเน้นว่า ต้องใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ ถึงเป็นแฟนกัน ไว้ใจแค่ไหนก็ต้องใส่เสมอ ไม่ใช่แค่เรื่องท้องแต่ต้องห่วงเรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ด้วย หรือแม้แต่กลุ่มชายรักชายก็ต้องใช้นะ ที่สำคัญให้รู้ไว้ว่า ถ้าหากอีกฝ่ายไม่ยอมใส่ถุงยางอนามัย เราสามารถปฏิเสธได้ เราต้องเชื่อมั่นและเห็นคุณค่าตัวเอง การมีเพศสัมพันธ์นั้นไม่ผิด แต่ไม่เสี่ยงจะดีที่สุด"
การมีเพศสัมพันธ์คือการมีความสุขที่เกิดขึ้นจากความรับผิดชอบร่วมกัน ดังนั้นการพกและใช้ถุงยางอนามัยจึงไม่ใช่หน้าที่ใครทั้งสิ้น แต่คือหน้าที่ของทุกคนที่ต้องดูแลตัวเอง หากใครยังมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.คุยเรื่องเพศ.com
(Advertorial)