นายกฯ ดับฝัน ไม่อนุมัติหยุดยาวสงกรานต์ 9 วัน ลั่นวันหยุดปกติมากพอแล้ว
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงแนวคิดให้มีวันหยุดยาว 9 วัน ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ ว่า ตนเองได้พิจารณาแล้วและไม่มีการนำเรื่องเข้าคณะรัฐมนตรี ซึ่งตนเองไม่เห็นด้วยที่จะให้มีการหยุดเพิ่มเติม เพราะวันหยุดปกติมีมากพอแล้ว และเนื่องจากการให้บริการประชาชนต่างๆ ก็มีความจำเป็น ส่วนการกระตุ้นการท่องเที่ยวนั้น คาดว่า จะไม่ได้มีผลมากเท่าไหร่นัก โดยแนวคิด ดังกล่าวก็ถือเป็นเรื่องส่วนบุคคล
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงกรณีที่ชาวบ้านเขตหนองจอก รวมถึงวัดและมัสยิด ที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็กและทางเดินริมคลองแสนแสบ ของสำนักการระบายน้ำ กทม. ที่มีการขอให้นายกรัฐมนตรีช่วยเร่งรัดเงินช่วยเหลือซ่อมแซมว่า ต้องไปดูว่าเขื่อนคอนกรีตดังกล่าว สร้างขึ้นเพื่อผลประโยชน์อะไรและเพื่อใคร ส่วนกรณีที่มีผลกระทบเกิดขึ้นนั้น ขอให้กทม.เป็นผู้ชี้แจงรายละเอียดกับชาวบ้าน และมีมาตรการอะไรที่จะบรรเทาความเดือดร้อนให้กับคนในพื้นที่
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ระบุถึงกรณีที่ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบกออกมา ปฏิรูประบบสวัสดิการข้าราชการทหารบกว่า ส่วนตัวนะไม่ขัดข้องที่จะโอนย้ายไปให้กรมธนารักษ์นั้นเข้ามาช่วยดูแล และตรวจสอบว่าทุกอย่างเป็นไปตามระเบียบของสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดการสวัสดิการภายใน พ.ศ. 2547 หรือไม่ ซึ่งตนในฐานะที่เคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้บังหน่วยมาก่อน ก็เห็นว่าทุกอย่างดำเนินการอย่างนี้มาโดยตลอด เพียงแต่อาจมีบางคนนั้นไม่ปฏิบัติตาม ก็ต้องดำเนินการตรวจสอบ
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า จะไม่ย้ายออกจากบ้านพักในค่ายภายใน ร.1รอ. เพราะตนเองทำงาน รับใช้ชาติมาทั้งชีวิต ไม่ว่ากฎระเบียบจะเป็นอย่างไรก็ตามวันนี้ก็ยังรับใช้ชาติอยู่ และในฐานะที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จึงจำเป็นต้องมีการรักษาความปลอดภัย และต้องมีสถานที่ที่เหมาะสม ในฐานะผู้นำประเทศ แต่ก็เตรียมการจะย้ายไปอยู่บ้านพักส่วนตัว
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมรับศึกการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของฝ่ายค้าน ว่า ทุกอย่างจะอภิปรายในสภา และจะมีคำตอบให้ได้ในทุกประเด็น เพียงแต่ขออย่าบิดเบือนและขอให้ฝ่ายค้านฟังคำชี้แจง
ส่วนกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญเตรียมวินิจฉัย คดีกู้เงินของพรรคอนาคตใหม่ ยืนยันว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตนหรือรัฐบาล จะถูกจะผิดขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงและหลักฐาน ทุกอย่างต้องว่ากันตามกระบวนการยุติธรรมและกฎหมาย เพราะทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายฉบับเดียวกัน และส่วนตัวยังไม่ทราบว่าผลคำวินิจฉัยจะออกมาในทิศทางใด ซึ่งตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ต้องไปดูว่าความผิดพลาดนั้นเกิดจากใคร และให้ประชาชนคิดเองว่าควรจะสนับสนุนหรือไม่ ในฐานะนายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมภายใต้ระบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ต้องมีความโปร่งใสและยุติธรรม