ลูกสาวนอกสมรสอดีตกษัตริย์เบลเยียม ได้สิทธิแบ่งมรดก หลังต่อสู้พิสูจน์ DNA มากว่า 20 ปี

ลูกสาวนอกสมรสอดีตกษัตริย์เบลเยียม ได้สิทธิแบ่งมรดก หลังต่อสู้พิสูจน์ DNA มากว่า 20 ปี

ลูกสาวนอกสมรสอดีตกษัตริย์เบลเยียม ได้สิทธิแบ่งมรดก หลังต่อสู้พิสูจน์ DNA มากว่า 20 ปี
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ราชอาณาจักรเบลเยียม เป็นประเทศในยุโรปตะวันตกเฉียงเหนือ มีพื้นที่ทั้งหมด 30,528 ตารางกิโลเมตร อาณาเขตติดต่อกับประเทศเนเธอร์แลนด์ เยอรมนี ลักเซมเบิร์ก ฝรั่งเศส และทะเลเหนือ

เบลเยียมมีประชากรประมาณ 11,398,311 คน ซึ่งลักษณะของประแทศเบลเยียมนั้นคล้ายกับประเทศสวิตเซอร์แลนด์ กล่าวคือ เบลเยียมมีความหลากหลายทางภาษาสูงมาก ส่งผลต่อระบบการปกครองที่ซับซ้อน โดยประเทศเบลเยียมแบ่งออกเป็นสองภูมิภาคใหญ่ๆ ได้แก่ ภูมิภาคฟลานเดอส์ ซึ่งประชากรส่วนใหญ่พูดภาษาดัตช์ และภูมิภาควัลโลเนีย ซึ่งประชากรส่วนใหญ่พูดภาษาฝรั่งเศส ในขณะที่กรุงบรัสเซลส์ เมืองหลวงของเบลเยียมตั้งอยู่ในฟลานเดอส์ แต่กรุงบรัสเซลส์เป็นเขต 2 ภาษา คือใช้ทั้งภาษาดัตช์และภาษาฝรั่งเศส นอกจากนี้ ยังมีชุมชนที่พูดภาษาเยอรมันในทางตะวันออกของวัลโลเนียด้วย

ทั้งนี้ เบลเยียมจัดว่าเป็นประเทศใหม่ที่ตั้งขึ้นมาเมื่อปี พ.ศ. 2374 ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ คือประมาณ 180 ปีที่ผ่านมานี่เอง อาจจะเรียกได้ว่าเป็นประเทศที่อังกฤษตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นรัฐกันชนระหว่างอังกฤษกับประเทศในภาคพื้นยุโรป เพราะเมื่อก่อตั้งขึ้นนั้นจักรวรรดิบริติชรับรองความเป็นเอกราชและความเป็นกลางของเบลเยียมมาจนถึงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2  

นอกจากนี้ เมื่อสถาปนาประเทศเบลเยียมขึ้น อังกฤษก็เจ้ากี้เจ้าการหากษัตริย์ให้ราชอาณาจักรที่เกิดขึ้นใหม่นี้ด้วย โดยเชิญเจ้าชายเลโอโปลด์จากราชวงศ์แซ็กซ์-โคบูร์กและโกธา (ราชวงศ์เดียวกันที่ปกครองอังกฤษอยู่ในขณะนั้น) ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์เลโอโปลด์ที่ 1 โดยมีการปกครองในระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญและประชาธิปไตยแบบรัฐสภาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

อย่างไรก็ตาม เบลเยียมมีกษัตริย์ตั้งแต่ก่อตั้งประเทศจนถึงปัจจุบันนี้ 7 พระองค์ด้วยกัน แต่กษัตริย์องค์ที่สองแห่งราชวงศ์แซ็กซ์-โคบูร์กและโกธา คือ กษัตริย์เลโอโปลด์ที่ 2 เป็นกษัตริย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความไม่ดีสูงสุด ได้ยึดดินแดนคองโกในทวีปแอฟริกาเป็นดินแดนส่วนพระองค์และปกครองอย่างโหดเหี้ยมทารุณจนผู้คนล้มตายนับล้านคน กระทั่งรัฐบาลเบลเยียมต้องยึดคองโกมาจากกษัตริย์เลโอโปลด์ที่ 2 ให้เป็นอาณานิคมของประเทศเบลเยียมเองจนกระทั่งประเทศคองโกได้รับเอกราชในปี พ.ศ. 2503

ส่วนกษัตริย์องค์ที่ 3 คือกษัตริย์อัลแบร์ที่ 1 สิ้นพระชนม์เมื่ออายุ 58 ปีจากอุบัติเหตุในการปีนเขาในภาคตะวันออกของเบลเยียมในปี พ.ศ. 2476 มีพระชนมพรรษา 58 พรรษา และกษัตริย์องค์ที่ 4 คือกษัตริย์เลโอโปลด์ที่ 3 ทรงปกครองเบลเยียมในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จนกระทั่งถูกบีบให้สละราชสมบัติให้พระโอรสคือ กษัตริย์โบดวงขึ้นครองราชย์ต่อไป ซึ่งนำมาซึ่งสันติสุขและความเจริญรุ่งเรืองอันยาวนานถึง 42 ปีตลอดรัชกาลของกษํตริย์โบดวง

แต่ทว่าเนื่องจากกษัตริย์โบดวงไม่มีบุตรหรือธิดา ดังนั้นพระอนุชาคือกษัตริย์อัลแบร์ที่ 2 จึงขึ้นครองราชย์สืบต่อไปเป็นเวลา 20 ปี จึงสละราชสมบัติยกให้พระโอรสคือ กษัตริย์ฟิลิปขึ้นครองราชย์ต่อไปเมื่อปี พ.ศ. 2556

เมื่อวันที่ 28 มกราคมที่เพิ่งผ่านมานี้ อดีตกษัตริย์อัลแบร์ที่ 2 แห่งเบลเยียมวัย 85 ปี ซึ่งได้สละราชสมบัติไปเมื่อปี พ.ศ. 2556 ได้ยอมรับว่าพระองค์เป็นบิดาของนางเดลฟิน โบเอล ประติมากรหญิงอายุ 51 ปีผู้ยื่นฟ้องร้องเพื่อพิสูจน์ดีเอ็นเอจากพระองค์ หลังผลการตรวจดีเอ็นเอโดยใช้น้ำลายระบุชัดถึงความสัมพันธ์ทางสายเลือดของพระองค์กับนางเดลฟิน โบเอล ผู้เป็นบุตรสาวที่เกิดจากความสัมพันธ์นอกสมรสกับบารอนเนส ซิบิล เดอ เซลีส ล็องช็องป์ส ผู้เป็นแม่ของนางเดลฟิน โบเอล ในช่วงปี พ.ศ. 2503 – 2513 ในขณะที่พระองค์ได้ปฏิเสธมาโดยตลอดว่า พระองค์ไม่มีลูกนอกสมรส

นางเดลฟีน โบเอล พยายามฟ้องร้องให้อดีตกษัตริย์อัลแบร์ที่ 2 ยอมรับว่าเธอเป็นลูกตั้งแต่ 20 ปีก่อน แต่การฟ้องร้องนั้นศาลไม่รับพิจารณาเนื่องจากกษัตริย์มีเอกสิทธิ์คุ้มครองจากการฟ้องร้องตามกฎหมาย แม้จะมีหลักฐานว่ากษัตริย์อัลแบร์ที่ 2 มีส่วนพบเห็นเยี่ยมเยือนในช่วงที่เธอยังเป็นเด็ก แถมเธอยังเคยเรียกพ่อของเธอว่า “ปาปิลยอน” ที่แปลว่าผีเสื้อ

ต่อมานางเดลฟีน โบเอลได้ยื่นฟ้องร้องต่อศาลเมื่ออดีตกษัตริย์อัลแบร์ที่ 2 สิ้นเอกสิทธิ์คุ้มครองภายหลังสละราชบัลลังก์ให้เจ้าชายฟิลิปแล้ว จนกระทั่งในเดือนพฤษภาคม 2562 อดีตกษัตริย์อัลแบร์จึงได้ยอมตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอ เพื่อสะสางเรื่องราวทั้งหมดหลังจากศาลอุทธรณ์เบลเยียมตัดสินลงโทษปรับเงินพระองค์วันละ 5,000 ยูโร (ราว 170,235 บาท) หากยังยืนกรานไม่ให้ความร่วมมือมอบน้ำลายของพระองค์ให้ตรวจดีเอนเอ

ดังนั้น หลังจากการต่อสู้คดีในชั้นศาลมายาวนานถึง 6 ปี ในที่สุดก็ทำให้นางเดลฟีน โบเอล มีสิทธิ 1 ใน 8 ของมรดกจากอดีตกษัตริย์อัลแบร์ที่ 2 ในฐานะที่เป็นลูกหนึ่งใน 4 คนของอดีตกษัตริย์อัลแบร์ที่ 2 ตามกฎหมายนั่นเองละครับ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook