อันวาร์ VS มหาธีร์ ศึกสองผู้เฒ่าแห่งมาเลเซีย ที่ทำเอาการเมืองแดนเสือเหลืองปั่นป่วน
ดร.มหาธีร์ มูฮัมหมัด เกิดวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2468 ในรัฐเคดะห์ ประเทศมาเลเซีย ปัจจุบันมีอายุ 94 ปี เป็นบุตรชายคนสุดท้องในจำนวนพี่น้องทั้งหมด 10 คน บิดาเป็นผู้อพยพเชื้อสายอินเดีย ประกอบอาชีพครู ส่วนมารดาเป็นชาวมลายู โดย ดร.มหาธีร์ โมฮัมหมัด เรียนจบแพทยศาสตร์บัณฑิต แต่พอทำงานเป็นแพทย์ได้เพียง 2 ปี ดร.มหาธีร์ ก็ลาออกจากราชการ หันเข้าสู่แวดวงการเมือง ด้วยการสมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในรัฐบ้านเกิด ด้วยวัยเพียงแค่ 29 ปี จากนั้นเขาก็ได้ดำรงตำแหน่งเป็นวุฒิสมาชิก, รัฐมนตรี, รองนายกรัฐมนตรี จนก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 4 ของประเทศ ดำรงตำแหน่งยาวนานถึง 22 ปี และได้รับการยกย่องให้เป็นบุคคลที่มีอิทธิพลและมีความสำคัญต่อประเทศมาเลเซีย
ผลงานอันยิ่งใหญ่ของ ดร.มหาธีร์ระหว่างดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ยาวนานที่สุดคือ การปกป้องประเทศมาเลเซียจากวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งเมื่อปี พ.ศ. 2540 โดย ดร.มหาธีร์ประกาศไม่ยอมรับความช่วยเหลือและไม่ทำตามคำแนะนำของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) แต่ใช้วิธีควบคุมเงินทุนและกำหนดค่าเงินริงกิตแบบตายตัว ซึ่งทำให้มาเลเซียเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบน้อยที่สุดจากวิกฤตครั้งนั้น ในขณะที่ประเทศไทยและประเทศรอบข้างรวมทั้งญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน ต่างประสบปัญหาเศรษฐกิจอย่างหนักหนาสาหัสเหลือแสน
ส่วนผลงานโดดเด่นอื่นๆ ที่สร้างความภาคภูมิใจแก่คนในชาติ เช่น การสร้างตึกแฝด “เปโตรนาส” สูง 88 ชั้น ตั้งอยู่กลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งเคยเป็นตึกสูงที่สุดในโลกอยู่ช่วงหนึ่ง และการสร้างเมืองราชการปุตราจายา เพื่อเป็นที่ตั้งของฝ่ายบริหารและประมุขของประเทศ จนกลายเป็นสถานที่สำคัญมาจนทุกวันนี้
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศ ดร.มหาธีร์ ก็เคยมีประวัติปราบปรามกลุ่มคนที่เห็นต่างและต่อต้านเขาอย่างแข็งกร้าว จนถูกกล่าวหาว่าเป็นเผด็จการด้วยการสั่งจับตัวฝ่ายค้านรัฐบาลกว่าร้อยคนมากักขัง การสั่งปิดหนังสือพิมพ์ 3 ฉบับ การสั่งปลดประธานศาลฎีกาที่สนับสนุนคำร้องของพรรคฝ่ายค้าน รวมถึงการสั่งปลดนายอันวาร์ อิบราฮิม ออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เนื่องจากมีความคิดเห็นที่ไปด้วยกันไม่ได้ในเรื่องการแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง
ทั้งนี้ ดร.มหาธีร์ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อปี พ.ศ. 2546 ขณะที่มีอายุ 78 ปี แต่ก็ยังคงทรงอิทธิพลในแวดวงการเมืองของมาเลเซียอยู่นั่นเอง จนกระทั่งเมื่อปี พ.ศ. 2559 ดร.มหาธีร์ประกาศแยกทางกับพรรคอัมโนซึ่งเป็นพรรคที่มหาธีร์สังกัดอยู่ และเป็นพรรคการเมืองที่ครองอำนาจเป็นรัฐบาลมาตลอดตั้งแต่มาเลเซียได้รับเอกราชจากอังกฤษ เนื่องจากนายอดีตนายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัก ที่ตัวมหาธีร์เองสนับสนุนให้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ถูกกล่าวหาว่ายักยอกเงินจากกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติมาเลเซีย หรือ 1MDB ที่รัฐบาลของนาจิบเองตั้งขึ้นผ่านทางบริษัทต่างชาติเป็นจำนวน 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เข้ากระเป๋าตัวเอง
ในปี พ.ศ. 2561 ดร.มหาธีร์สร้างความประหลาดใจให้กับคนทั้งประเทศมาเลเซีย เมื่อเขาหันกลับมาจับมือกับนายอันวาร์ อิบราฮิม อดีตคู่แค้นที่ ดร.มหาธีร์เคยปลดออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 และกำลังติดคุกอยู่ด้วยข้อหาคดีรักร่วมเพศ โดย ดร.มหาธีร์ต้องการร่วมมือกับพรรคแนวร่วมฝ่ายค้านที่นำโดยภรรยาของนายอันวาร์ อิบราฮิม โดยสัญญาอย่างเปิดเผยว่า หากแนวร่วมฝ่ายค้านที่นำโดยนายอันวาร์ อิบราฮิม กับ ดร.มหาธีร์ ชนะการเลือกตั้งได้จัดตั้งรัฐบาลแล้ว ดร.มหาธีร์จะนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีรอบนี้ได้ไม่เกิน 2 ปี แล้วจะส่งต่ออำนาจให้กับนายอันวาร์ อิบบราฮิม
แต่เมื่อ ดร.มหาธีร์ได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว ดร.มหาธีร์ ปฏิเสธตลอดเวลาที่จะบอกกำหนดเวลาที่ชัดเจนของการถ่ายโอนอำนาจ ทำให้เกิดความตึงเครียดภายในกลุ่มพันธมิตรฝ่ายค้าน
จนกระทั่งไม่นานนี้ปรากฏว่า ดร.มหาธีร์ยื่นหนังสือลาออกอย่างกะทันหันต่อสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งมาเลเซียเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ นี้เอง ท่ามกลางข่าวลือว่า จะก่อตั้งพรรคร่วมใหม่โดยไม่มีนายอันวาร์ อิบราฮิม ผู้ที่ถูกวางตัวให้เป็นทายาททางการเมือง ทำให้เกิดความโกลาหลวุ่นวายทางการเมืองในประเทศมาเลเซีย
ครับ! ดร.มหาธีร์ อายุ 94 ปี และนายอันวาร์ อิบราฮิม อายุ 72 ปี ดูท่าว่าอำนาจทางการเมืองคงหอมหวานจนทำให้คนวัยชรา 2 คนต้องมาฟาดฟันห้ำหั่นกันทางการเมืองอีกครา
ช่างน่าระอาเหมือนกันนะครับ