ไวรัสโคโรนา: แพทย์ทรวงอกเปิด "บันทึกแนวคิดการรับมือโควิด-19" แนะควรซ้อมเข้าเฟส 3
![ไวรัสโคโรนา: แพทย์ทรวงอกเปิด "บันทึกแนวคิดการรับมือโควิด-19" แนะควรซ้อมเข้าเฟส 3](http://s.isanook.com/ns/0/ud/1610/8053795/pic2.jpg?ip/crop/w728h431/q80/jpg)
วันนี้ (14 มีนาคม 2563) เว็บไซต์สมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ หรือที่คนทั่วไปเรียกกันว่าสมาคมแพทย์ทรวงอกได้มีการเปิดบันทึกแนวคิดการรับมือโควิด-19 14 มีนาคม 2563 โดยนิธิพัฒน์ เจียรกุล
นายกสมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งมีใจความว่า
ดูเหมือนรัฐบาลอังกฤษวางแผนรับมือโควิดคล้ายที่ส่วนหัวในบ้านเรากำลังดำเนินการ ด้วยการพยายามให้โรคกระจายไปแบบเรื่อยๆ แค่พยายามคุมเพื่อให้คนเป็นกันแบบไม่รุนแรงมากพอควรจนเกิดภูมิคุ้มกันมาพอยับยั้งโรคตามธรรมชาติ
ซึ่งต่างจากผู้เชี่ยวชาญในไทยและต่างประเทศอีกหลายคนที่เห็นว่า เรายังจำเป็นต้องทำแบบนั้นโดยเคร่งครัด แต่ต้องควบคู่ไปกับการดำเนินการแบบใหม่ ด้วยการค้นหาผู้ป่วยรายให้ได้เร็ว รักษารายที่รุนแรงให้มีประสิทธิภาพ คือทำคล้ายเข้าเฟสสามจริงตั้งแต่ตอนนี้ เพื่อตัดตอนการระบาดจะได้ไม่เข้าเฟสสามรุนแรงและควบคุมโรคให้สงบเร็ว ซึ่งเห็นตัวอย่างแล้วจากประเทศซีกโลกตะวันออกเช่น จีน ไต้หวัน สิงคโปร์ และเกาหลีใต้ งานนี้ไม่ควรเดินตามก้นแนวคิดหลายประเทศในยุโรป รวมอเมริกาและองค์การอนามัยโลกด้วย ที่กำลังนำพาหลายประเทศเข้าสู่หายนะทางด้านสุขภาพและจะตามมาด้วยด้านเศรษฐกิจ
ปัจจุบันเรามีความก้าวหน้าทางการแพทย์และเทคโนโลยีสนับนุนดีกว่าเมื่อสิบกว่าปีก่อนที่มีโรคระบาดทำนองนี้ ไม่ควรใช้มุมมองแบบเดิมมาจัดการปัญหาปัจจุบัน เราต้องเปิดให้มีการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่รวดเร็วและกว้างขวาง (ซึ่งประเทศไทยมีคนเก่งๆ ด้านนี้อีกมากแต่ไม่ถูกใช้งาน) จัดหาและกระจายยาต้านไวรัสที่เชื่อว่าดีที่สุดออกไปให้เพียงพอ ดูแลคนทำงานด่านหน้าของเราให้ดีเต็มที่ไม่ปล่อยตามแต่ดิ้นรนกันเอง (รวมบุคลากรสายอื่นที่มาร่วมงานกับเราอย่างแข็งขันด้วย เช่น กรณีผู้รับผิดชอบสนามบินสุวรรณภูมิน้อยใจจะลาออก และเจ้าหน้าที่ ตม. ที่ป่วยแล้วอย่างน้อยสองคน) เรามีต้นทุนคนไทยส่วนใหญ่ที่ใส่ใจร่วมมือกันในเรื่องโควิดนี้ดีอยู่แล้ว (เห็นได้จากการช่วยกันตามล่าไอ้โม่งฉวยโอกาสหาประโยชน์จากการกระจายหน้ากากอนามัย สนใจหาข้อมูลแหล่งการระบาดในประเทศเพื่อช่วยกันชะลอ โดยไม่รอผู้รับผิดชอบที่แจ้งช้าและแจ้งแบบกลัวๆ กล้าๆ)
ตอนนี้คงไม่ต้องเถียงกันว่ามันเข้าเฟสสามหรือยัง แต่ต้องตัดสินใจว่าเราจะยอมเข้าเฟสสามด้วยโลกทรรศน์เก่า หรือยถากรรม (ไม่ถึงขนาดนั้นจริง เปรียบเทียบให้เห็นชัดว่าปล่อยแบบที่เคยทำสำเร็จมาในอดีต และปล่อยให้ผู้รับผิดชอบทำฝ่ายเดียว) หรือจะใช้โลกทรรศน์ใหม่ คือการรับผิดชอบร่วมกัน ที่สำคัญหมอ บุคลากรสาธารณสุข และนักวิทยาศาสตร์ไทยมีศักยภาพสูงและทุ่มเทไม่แพ้ชาติอื่นในโลกตะวันออก แถมมีแนวโน้มไม่ยอมไปเสียทั้งหมดให้กับพวกสั่งการจากข้างบนแบบไม่ดูตาม้าตาเรือและไม่ยืนอยู่บนข้อมูลศักยภาพที่เป็นจริง
ตอนนี้ส่วนหัวยังไม่ยอมกระดิกแม้หางจะส่ายรอเต็มที่แล้ว มาติดตามดูกันว่าแนวคิดในการบริหารจัดการวิกฤตสุขภาพครั้งสำคัญในประเทศไทยแบบไหนจะดีกว่ากัน