หนุ่มสุดเคืองสายการบินดัง บอกปัดขึ้นเครื่องกลับไทยจากเยอรมนี โชคดีได้เจ้าหน้าที่ทูตช่วย

หนุ่มสุดเคืองสายการบินดัง บอกปัดขึ้นเครื่องกลับไทยจากเยอรมนี โชคดีได้เจ้าหน้าที่ทูตช่วย

หนุ่มสุดเคืองสายการบินดัง บอกปัดขึ้นเครื่องกลับไทยจากเยอรมนี โชคดีได้เจ้าหน้าที่ทูตช่วย
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ชายชาวไทยคนหนึ่งเล่าประสบการณ์ระทึกใจ หลังจากตั้งใจจะบินกลับจากเยอรมนีมายังประเทศไทย แต่กลับถูกสายการบินชื่อดังแห่งหนึ่งในยุโรปปฏิเสธ หลังจากสำนักงานการบินพลเรือนของไทย (กพท.) ออกมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือโรคโควิด-19 (COVID-19) ใหม่ ด้วยการขอใบรับรองแพทย์

เลื่อนตั๋วกลับไทยเร็วขึ้น เลี่ยงขอใบรับรองแพทย์

ชายคนนี้เผยกับ sanook.com ว่า ตนเดินทางคนเดียวไปถึงประเทศเยอรมนีตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. ที่ผ่านมา และวางแผนว่าจะเที่ยวในเยอรมนีและประเทศข้างเคียงจนถึงวันนี้ (22 มี.ค.) แล้วค่อยเดินทางกลับ แต่เมื่อไม่กี่วันก่อน กพท. กลับออกประกาศใหม่ ให้ผู้ที่จะเดินทางเข้าไทย ไม่ว่าคนต่างชาติหรือแม้แต่คนไทยเองก็ตาม ต้องมีใบรับรองแพทย์มายืนยันว่าไม่ได้ป่วย

อ่านเพิ่มเติม

เหตุนี้ทำให้ชายคนดังกล่าวตัดสินใจเปลี่ยนแผนการเดินทางเพื่อกลับประเทศไทยเร็วขึ้น จะได้ไม่ต้องขอใบรับรองแพทย์ เพราะการขอใบรับรองแพทย์ในต่างประเทศต้องรอนานถึง 5 วัน ไม่ได้ทำได้ง่ายๆ เหมือนไทย และยิ่งในช่วงที่โรค COVID-19 กำลังระบาดหนักในยุโรปเช่นนี้ ยิ่งทำได้ยากขึ้น

เผยเจ้าหน้าที่ขอดูเอกสารแม้กฎใหม่ยังไม่บังคับใช้

ขั้นแรก ตนโทรหาสถานทูตไทยด้วยเบอร์โทรศัพท์ปกติ ไม่ใช่เบอร์ฉุกเฉิน เพื่อตรวจสอบกับเจ้าหน้าที่ แต่พบว่าโทรไม่ติด จึงเปลี่ยนแผนไปยังสนามบินโดยตรง เพื่อเลื่อนเที่ยวบินจากเดิมที่จะกลับวันที่ 22 มี.ค. ไปเป็นก่อนหน้านั้น แต่เมื่อไปถึงสนามบิน เจ้าหน้าที่ของสายการบินในยุโรปสายการบินดังกล่าวกลับโยนกันไปมา 2-3 รอบ จนกระทั่งเจอตัวคนที่ทำเรื่อง และได้เลื่อนตั๋วกลับเป็นเที่ยวบินช่วงเย็นวันที่ 20 มี.ค. ตามเวลาท้องถิ่น

หลังจากตนเช็กอินและเข้าไปรอในส่วนรอขึ้นเครื่องเรียบร้อย ก็มีเจ้าหน้าที่สายการบิน ซึ่งเป็นชาวเยอรมัน สอบถามว่าตนมีเอกสาร 2 ใบ คือ ใบรับรองแพทย์และเอกสารรับรองการเดินทางกลับไทยที่ออกโดยสถานทูต ตามประกาศของ กพท. หรือไม่ และแม้ว่าตนจะแย้งไปว่าประกาศดังกล่าวยังไม่เริ่มบังคับใช้ เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวกลับไม่รับฟัง และยืนยันให้แสดงเอกสาร

เมื่อสถานการณ์ดูแย่ลง ตนจึงเข้าไปคุยกับคนไทยที่รอขึ้นเที่ยวบินเดียวกัน ซึ่งได้ความว่าคนไทยคนนั้นกำลังคุยกับเจ้าหน้าที่สถานทูตคนหนึ่ง ที่กำลังช่วยประสานงานกับสายการบินให้อย่างเต็มที่ และกำลังจะเดินทางมาที่สนามบินในอีก 40 นาที เพราะพบว่าการประสานงานผ่านโทรศัพท์ไม่คืบหน้าเท่าที่ควร 

เจ้าหน้าที่สถานทูต บอกตนและคนไทยคนนั้นว่า ระหว่างที่ตน (เจ้าหน้าที่สถานทูต) เดินทางไปสนามบิน ก็ขอให้ทุกคนถ่ายรูปพาสปอร์ตของตัวเองให้สถานทูตตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น หลังจากนั้นพบว่ากลุ่มไทยที่ไม่มีเอกสารแล้วถูกปฏิเสธไม่ให้ขึ้นเครื่องนั้นมีทั้งหมด 5 คนหนึ่งในนั้นเป็นหญิงชาวไทย ที่จะเดินทางพร้อมกับสามี ที่เป็นชาวฝรั่งเศสและลูกน้อย ส่วนคนไทยอีกคนหนึ่งในกลุ่มเดียวกันนี้พูดไทยไม่ได้ คาดว่ามาจากจังหวัดชายแดนภาคใต้

สายการบินดังยุโรปสุดยื้อ-เจ้าหน้าที่ทูตประสานจนได้กลับ "การบินไทย"

หลังจากสิ้นสายโทรศัพท์ประมาณ 1 ชั่วโมง ในที่สุดเจ้าหน้าที่ทูตก็เดินทางมาถึง และพยายามพูดคุยกับเจ้าหน้าที่สนามบิน ซึ่งขณะนั้นเที่ยวบินที่ตั้งใจว่าจะเดินทางกลับไทยออกไปแล้ว ซึ่งผู้ให้สัมภาษณ์เผยว่า ณ ขณะนั้นตนไม่สนใจกระเป๋าที่โหลดไปแล้ว แค่ขอได้กลับประเทศก่อน

เวลาผ่านไป 2 ชั่วโมง ความพยายามของเจ้าหน้าที่ทูตไม่เป็นผล เพราะสายการบินยุโรปรายดังกล่าวไม่ยอม แต่ก็ยังมีข่าวดีก็คือ เจ้าหน้าที่ทูตประสานกับการบินไทยสำเร็จ และทุกคนได้กลับประเทศเมื่อวานนี้ (21 มี.ค.) 

ชายคนนี้เล่าอีกว่า เจ้าหน้าที่ทูตยังเรียกร้องให้สายการบินดังกล่าวรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นกับคนไทย ด้วยการให้สายการบินออกค่าที่พักโรงแรมระดับ 5 ดาวเป็นการชดเชย แต่สายการบินดังกล่าวปฏิเสธ ยกเว้นแต่ให้คูปองแลกรับสิทธิประโยชน์ราว 30-50 ยูโร (1,000-1,700 บาท)

หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ทูตออกไปหาซื้ออาหารมาให้ พร้อมทั้งดูแลเรื่องการกินเป็นอย่างดี ทั้งยังเตือนให้ระวังเกี่ยวกับการติดเชื้อไวรัสโคโรนาด้วย

เจ้าหน้าที่ทูตลั่นต้องช่วยเต็มที่ เพราะรับภาษีเป็นเงินเดือน

ชายคนนี้เผยว่า มีคำพูดหนึ่งที่ทำให้ตนซึ้งใจคือ เจ้าหน้าที่ทูตบอกว่าต้องช่วยคนไทยเต็มที่ เพราะได้รับภาษีประชาชนเป็นเงินเดือน

"ทำงานที่นั่นใครๆ มักคิดว่างานสบาย วันๆ นั่งดื่มไวน์ชิลล์ๆ แต่ไม่ใช่เลย แล้วยิ่งมาเจอเคสคนไทยเดือดร้อน ยังไงก็ต้องช่วยให้ได้เพราะเงินเดือนที่ได้ก็มาจากภาษีของคนไทย"

ไม่ค้านกฎขอใบรับรองแพทย์ แต่รู้สึกกะทันหันเกินไป

ชายคนนี้ เผยต่อไปว่า ตนเข้าใจต่อสถานการณ์ว่าอาจเจอกับเรื่องเช่นนี้ เพราะก่อนเดินทางมา ก็มีคนเตือนจำนวนมาก แต่ตนเลือกเดินทางมาเอง และตนก็ยอมรับได้หากเมื่อเดินทางถึงไทยแล้วจะต้องถูกคัดกรองหรือต้องกักตัวเองเพื่อเฝ้าระวังการติดเชื้อ

ถึงอย่างนั้น ตนก็รู้สึกว่าการประกาศขอใบรับรองแพทย์และขอเอกสารรับรองการเดินทางจากสถานทูตนั้น น่าจะเผื่อเวลาให้คนที่เดินทางได้เตรียมตัวสักหน่อย เพราะการขอใบรับรองแพทย์ในต่างประเทศไม่ง่าย อย่างน้อยควรให้เวลา 5 วัน ไม่ใช่ 2-3 วันอย่างที่เกิดขึ้น

นอกจากนี้ ชายคนดังกล่าวเผยว่า การขอใบรับรองการเดินทางกลับประเทศจากสถานทูตนั้น ควรให้ทำผ่านระบบออนไลน์ได้ ไม่มีความจำเป็นต้องเดินทางไปสถานทูต

สถานการณ์ในเยอรมนีสุดสับสน

ผู้ให้สัมภาษณ์รายนี้ ที่ใช้เวลาในเยอรมนีและประเทศอื่นๆ ในยุโรปหลายสัปดาห์ เผยต่อไปว่า สถานการณ์ในเยอรมนีในช่วงแรกๆ ที่เดินทางไปถึง พบว่าผู้คนไม่สนใจโรคนี้เท่าใด เพราะคิดว่าแค่ไข้หวัดใหญ่ ไม่มีใครใส่หน้ากากอนามัย แถมยังใช้ชีวิตปกติมีการกอด หอมแก้ม ทักทายสไตล์ยุโรป ทั้งยังมีความเชื่อว่าคนที่ใส่หน้ากากอนามัยคือคนป่วย

แต่หลังจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อนางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี ออกแถลงการณ์ทางโทรทัศน์ถึงความรุนแรงของโรค COVID-19 ทำให้การตอบสนองของผู้คนเปลี่ยนไป อย่างเช่น พื้นที่ใจกลางเมืองแทบจะกลายเป็นเมืองร้าง ผู้คนไม่ค่อยออกมาใช้ชีวิตแบบปกติ

ผู้เล่าเผยอีกว่า ระหว่างที่เดินทาง ตนเห็นกับตาว่าคนยุโรปเหยียดคนเอเชีย คือ ระหว่างทางที่กำลังนั่งรถไฟเพื่อต่อรถบัสไปเที่ยว มีหญิงวัยรุ่นตะวันออกกลางคนหนึ่งขึ้นมาพร้อมกับใส่หน้ากากด้วย แล้วมีชายสูงวัยซึ่งเป็นคนท้องถิ่นคนหนึ่ง ที่มีอาการไอ พยายามพูดใส่ผู้หญิงคนนั้นว่าตนไม่ได้ป่วย ทั้งยังพยายามไอรดเธอด้วย แต่ผู้หญิงคนนั้นนิ่งๆ อย่างเดียว จนกระทั่งชายสูงวัยคนดังกล่าวลงจากรถไฟไปก่อน

เมื่อถึงสถานีปลายทาง ผู้เล่าจึงเข้าไปถามไถ่ผู้หญิงคนนั้นว่าเป็นอย่างไรบ้าง หญิงคนนั้นมีอาการเสียงสั่นๆ บอกว่าตนเพิ่งไปอิตาลีมา ก็เลยอยากจะป้องกันตัวเองและคนอื่นด้วยการสวมหน้ากากอนามัย แต่เมื่อโดนชายสูงวัยคนดังกล่าวปฏิบัติแบบนี้ ก็รู้สึกตกใจและเซ็งมาก

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook