“วิกฤติไวรัสโคโรนา” โลกคนละใบของคนดังและคนเดินดิน

“วิกฤติไวรัสโคโรนา” โลกคนละใบของคนดังและคนเดินดิน

“วิกฤติไวรัสโคโรนา” โลกคนละใบของคนดังและคนเดินดิน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ในขณะที่โลกกำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นและต้องล้มตายจากไวรัสดังกล่าวเป็นจำนวนมาก และแนวทางหนึ่งที่คนทั่วไปปฏิบัติในสถานการณ์นี้ คือการเก็บตัวอยู่ภายในบ้านเพื่อสร้างระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) แต่สิ่งที่น่าสนใจในห้วงเวลาแห่งความหวาดกลัวและตื่นตระหนกก็คือ เหล่าผู้มีชื่อเสียงที่ลุกขึ้นมาโพสต์ข้อความ ภาพ หรือคลิปวีดีโอ “ให้กำลังใจ” ผู้ได้รับผลกระทบจากวิกฤติครั้งนี้ แต่กลับโดนกระแสตีกลับอย่างที่พวกเขาเองก็คงไม่ได้คาดคิดเอาไว้ 

เริ่มจากทางฝั่งฮอลลีวูด นักแสดงชื่อดังจากภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ Wonder Woman อย่างกัล กาด็อตที่ชวนเพื่อนนักแสดงอย่าง นาตาลี พอร์ตแมน, เจมี่ ดอร์แนน, เซีย, จิมมี ฟอลลอน, นอราห์ โจนส์ และคารา เดเลอวีน มาร่วมร้องเพลง “Imagine” ของ จอห์น เลนนอนเพื่อส่งต่อกำลังใจให้แก่เพื่อนร่วมโลก ขณะที่วาเนสซ่า ฮัดเจนส์จากภาพยนตร์ The High School Musical ก็ตั้งข้อสงสัยในไลฟ์อินสตาแกรมของเธอเองว่า การสร้างระยะห่างทางสังคมนั้นจะช่วยหยุดยั้งการแพร่ระบาดของโรคได้จริงหรือ พร้อมชี้ว่านี่เป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ และไม่ว่าอย่างไร เราทุกคนก็ต้องตาย

(คลิปของกัล กาด็อต)

มาถึงของฝั่งไทย กรณีของกาละแมร์-พัชรศรี เบญจมาศ พิธีกรชื่อดัง ที่โพสต์วิดีโอบนอินสตาแกรมส่วนตัว โดยมีใจความสำคัญว่า ประเทศไทยเคยผ่านวิกฤติมามากมายหลายครั้งและเราก็ผ่านพ้นมันมาได้ ขอให้ทุกคนอย่าได้ตระหนกตกใจและจงกราบไหว้ขอให้พระโพธิสัตว์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง จนโดนกระแสโซเชียลโจมตีและดัน #กาละแมร์ ขึ้นสู่ตำแหน่งสูงในเวลาอันรวดเร็ว

(คลิปของกาละแมร์)

อาจเป็นไปได้ว่าการออกมาโพสต์ “ให้กำลังใจ” ของผู้มีชื่อเสียงเหล่านี้โดนกระแสตีกลับอย่างรุนแรง เพราะในขณะที่คนส่วนใหญ่ในสังคมต้องดิ้นรนต่อสู้กับเชื้อไวรัส นักแสดงและผู้มีชื่อเสียงเหล่านี้สามารถปกป้องตัวเองอยู่ภายในบ้านราคาหลายสิบล้านได้อย่างไร้ปัญหา แถมมีอาหารให้กินทุกมื้อ พร้อมทั้งใช้ชีวิตสวยหรูต่อไป โดยทั้ง The New Yok Times, VICE และ The Atlantic ต่างก็วิพากษ์วิจารณ์การแสดงออกของนักแสดงฮอลลีวูดเหล่านี้อย่างเผ็ดร้อนและแสบสัน เช่นเดียวกับในประเทศไทย ที่ประชาชนทั่วไปต่างก็วิพากษ์วิจารณ์การแสดงออกของกาละแมร์อย่างดุเดือด โดยพุ่งเป้าไปที่คำแนะนำให้ใช้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นที่พึ่ง ท่าทีที่แสดงออกว่า “วิกฤติ” ครั้งนี้จะผ่านไปเองง่ายๆ ผู้ใช้งานทวิตเตอร์รายหนึ่ง ทวีตข้อความว่า “ตัวกาละแมร์เองก็ผ่านอะไรมาเยอะ แต่เธอกลับไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย เพราะตัวเองไม่ได้เดือดร้อน ดังนั้นจะพูดอะไรก็ได้ทั้งนั้น คนหาเช้ากินค่ำทำงานหาเงินทุกวัน ไม่มีเวลามากราบไหว้พระเจ้าอย่างที่เธอแนะนำหรอก” พร้อมกับทิ้งท้ายว่า “ถ้าไม่เห็นใจก็ไม่ต้องมาซ้ำเติม” ขณะที่ผู้ใช้งานอินสตาแกรมคนหนึ่งก็เขียนข้อความว่า “ถ้าแน่จริงก็เลิกทำงานไปสวดมนต์ อยากรู้นักว่าจะมีกินมีใช้เหมือนทุกวันนี้หรือเปล่า”

อย่างไรก็ตาม หากมองว่าการแสดงออกของคนดังเหล่านี้ว่ามีเจตนาที่ดีก็คงไม่ผิด แต่ในความประสงค์ดีกลับแสดงให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำและช่องว่างในสังคมที่ชัดเจนมาก เพราะในขณะที่ผู้มีชื่อเสียงเหล่านี้ “โพสต์” ข้อความและวิดีโอให้กำลังใจออนไลน์ พวกเขาก็ใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหรู ไม่อายที่จะแสดงให้เห็นความสวยงามของชีวิตพวกเขาท่ามกลางสถานการณ์ที่ค่อนข้างหมองหม่น มีเงินเก็บมากมายที่ทำให้พวกเขาไม่ต้องกังวลเรื่องการเข้าถึงการรักษาหากพวกเขาติดเชื้อไวรัส ซึ่งในกรณีนี้ทอม แฮงก์ส นักแสดงมากฝีมือของฮอลลีวูดที่ติดเชื้อ COVID-19 ก็โดนกระแสวิพากษ์วิจารณ์เช่นกันว่า เพราะเขามีเงิน มีสถานะทางสังคม มีชื่อเสียง เขาจึงสามารถตรวจหาเชื้อและเข้ารับการรักษาได้ทันท่วงที แน่นอนว่าคนดังเหล่านี้โดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการตรวจรักษา ซึ่งเมื่อเทียบกับประชาชนทั่วไป การเข้ารับการตรวจหาเชื้ออาจเป็นภาระก้อนใหญ่ เพราะต้องใช้เงินจำนวนมาก ยังไม่ต้องพูดถึงการรักษา หรือความเครียดในการดำรงชีวิตท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และกลุ่มผู้มีชื่อเสียงเหล่านี้อาจจะมองไม่เห็นข้อเท็จจริงนี้ก็เป็นได้

อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้คนดังเหล่านี้ถูกสังคมโจมตีกลับอย่างรุนแรงคือ การแสดงออก “โลกสวย” ที่สามารถโดนตีความออกมาได้ว่าไม่เคารพบุคลากรทางการแพทย์ ที่ในวินาทีนี้กำลังทำงานกันอย่างหนักเพื่อสู้กับไวรัส การแสดงความคิดเห็นในลักษณะดังกล่าว ก่อให้เกิดคำถามตามมาว่า หรือถ้ามัน “เลี่ยง” ไม่ได้อยู่แล้ว ยังไงมันก็ผ่านไป การสวดมนต์สามารถปกป้องคุ้มครองเราได้ ก็ควรให้บุคลากรทางการแพทย์หยุดทำงาน แล้วปล่อยให้ทุกอย่างคลี่คลายไปเองตามโลกในฝันของคนที่ “มี” มากกว่าประชากรส่วนมากของโลกหรือไม่

อย่างไรก็ตาม เราเข้าใจว่าผู้มีชื่อเสียงเหล่านี้ต้องการ “ช่วยเหลือ” เพื่อนมนุษย์ด้วยการให้กำลังใจซึ่งกันและกัน การสวดมนต์สามารถช่วยเยียวยาจิตใจสร้างสติได้สำหรับบางคน แต่อย่าลืมว่าในเวลาเปราะบางเช่นนี้วิธีการสื่อสารและข้อความที่ส่งต่ออกมาสำคัญมากในฐานะ “คนของประชาชน” ที่มีรายได้จากความนิยมของ “ประชาชน” ควรใช้วิจารณญาณในการแสดงออกผ่านทุกช่องทางให้รัดกุมและจริงใจมากที่สุด ที่สำคัญควรเข้าใจและเห็นใจเพื่อนมนุษย์อย่างถ่องแท้

ไม่ใช่ทุกวิกฤติจะสามารถเปลี่ยนเป็นโอกาสได้ โดยเฉพาะถ้าสายป่านคุณยาวไม่พอ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนได้ไม่ทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องนี้ที่ทุกฝ่ายควรจะร่วมมือช่วยกันทั้งภาครัฐ เอกชน และส่วนบุคคล COVID-19 พาเราสู่เข้าโลกใหม่ที่ไม่มีใครเคยผ่านมาก่อน สติ ความรับผิดชอบต่อสังคม และความเข้าใจมีส่วนที่จะทำให้เราทุกคนผ่านมันไปได้

มันอาจจะดีกว่าถ้าผู้มีชื่อเสียงเหล่านี้จะใช้ “ชื่อเสียง” ของตัวเองอย่างสร้างสรรค์และมีประโยชน์ เช่น การให้ความรู้หรือสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้ประชาชนที่บูชาพวกคุณอยู่แล้ว แทนที่จะร้องเพลงเสียงเพี้ยน อวดไลฟ์สไตล์การกักตัวที่ฟู่ฟ่า หรือ “ให้คำแนะนำที่ไม่สามารถเอามาประยุกต์ใช้ได้จริงในชีวิตของคนหาเช้ากินค่ำทั่วไป” อาจจะบริจาคเงินหรือข้าวของที่เป็นประโยชน์กับการรักษาพยาบาล

เพราะบางที “กำลังใจ” ไม่สามารถป้องกันโรคหรือรักษาชีวิตไว้ได้ การให้ “ความหวัง” เป็นเรื่องดีแต่ได้รับการรักษาฟรีน่าจะดีกว่า

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook