แท็กซี่โกหกหมอฟัน ปกปิดประวัติเสี่ยงไปสนามมวย ก่อนตรวจพบติดเชื้อโควิด-19
สถานการณ์ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ โควิด-19 ในขณะนี้เรียกว่ากำลังแพร่ระบาดอย่างหนัก ทางกระทรวงสาธารณสุขได้เน้นย้ำให้ผู้ป่วยทุกคนอย่าปกปิดข้อมูลประวัติเสี่ยง เพราะจะส่งผลต่อการวินิจฉัยและรักษาโรค ซึ่งมีหลายครั้งที่ผู้ป่วยมีอาการบ่งชี้คล้ายกับโรคโควิด-19 แต่ปฏิเสธว่าไม่ได้เดินทางไปต่างประเทศ หรือสถานที่เสี่ยงมาก่อน ซึ่งหากตรวจพบเชื้อโควิด-19 ในภายหลัง ก็จะทำให้บุคลากรทางการแพทย์เสี่ยงไปด้วย
ผู้ใช้เฟซบุ๊ก Nuttaporn Shoomparng โพสต์ลงเฟซบุ๊กเมื่อเมื่อวันที่ 27 มี.ค. ข้อความว่าระบุว่า “งานทันตกรรมก็โดนทำร้าย จากคนโกหก เช่นกัน ขอเล่าเป็นอุทาหรณ์ และเตือนสติทันตแพทย์ทุกท่าน
มีคนไข้ เพศชาย มาด้วยอาการปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ไปพบแพทย์ ผ่านการคัดกรองวัดอุณหภูมิ ได้ 36.6 องศาเซลเซียส ปฏิเสธภาวะเสี่ยงทุกอย่าง แพทย์ตรวจร่างกาย จ่ายยา และส่งให้พบทันตแพทย์เพื่อจะถอนฟัน เพราะฟันโยกเป็นหนอง อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ไม่สบาย ปวดศีรษะ
ทันตแพทย์ที่ถอนฟัน ซักประวัติอีกครั้งเรื่องความเสี่ยง คนไข้ก็ปฏิเสธ และแอบเห็นคนไข้แต่งตัวเหมือนคนขับแท็กซี่ เลยถามว่า มีรับส่งผู้โดยสารไปกลับสนามมวยบ้างไหม คนไข้บอกเคยไปสนามมวยมาเมื่อ 2-3 เดือนก่อน ถามย้ำอีกครั้งว่าไปมาเมื่อไหร่ คนไข้ก็ตอบแบบเดิม ทันตแพทย์ตัดสินใจถอนฟันให้ เพราะฉุกเฉินและถอนไม่ยาก
พอถอนเสร็จให้กัดก๊อซ คนไข้บอกว่า จริงๆ เพิ่งไปมาสนามมวยลุมพินี เมื่อ 6 มี.ค. เพื่อนที่ไปด้วยกัน ถูกตำรวจตามมากักตัวหมดแล้ว แต่เค้าไม่โดน เลยขับแท็กซี่รับส่งผู้โดยสารเรื่อยๆ 2-3 วันที่แล้ว มีไข้ไม่หาย กินยาพาราไข้ลด แล้วมาหาหมอ
ตั้งสติขั้นสูงสุด ติดต่อเจ้าหน้าที่ให้นำตัวไปตรวจเชื้อโควิด-19 รอผลวันรุ่งขึ้น วันต่อมา ผลเพาะเชื้อเป็น positive (บวก) ทันตแพทย์กลายเป็นเคส PUI (ผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรค) เพราะสัมผัสผู้ติดเชื้อโดยตรง พักงาน กักตัวอยู่บ้าน
นี่คือเรื่องที่เกิดจริง ขนาดเคสที่เร่งด่วน ยังกลายเป็นคนไข้โควิด-19 ที่ปกปิดข้อมูล เคสที่ไม่เร่งด่วน ยิ่งไม่ควรทำ เคส PUI ที่ปกปิดข้อมูล มีอยู่จริงในทุกพื้นที่ อย่าคิดว่าการคัดกรองจะได้ผล 100% เล่าเพื่อเตือนสติ”