ฟอร์บส์ เผยอันดับเศรษฐีไทยปีนี้ ทรัพย์สินลดลงรวมกว่า 9.24 แสนล้านบาท ภายใต้วิกฤตโควิด-19

ฟอร์บส์ เผยอันดับเศรษฐีไทยปีนี้ ทรัพย์สินลดลงรวมกว่า 9.24 แสนล้านบาท ภายใต้วิกฤตโควิด-19

ฟอร์บส์ เผยอันดับเศรษฐีไทยปีนี้ ทรัพย์สินลดลงรวมกว่า 9.24 แสนล้านบาท ภายใต้วิกฤตโควิด-19
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ฟอร์บ จัดอันดับเศรษฐีไทยปีล่าสุดออกมาแล้ว ผลปรากฏว่า ทรัพย์สินรวมของ 50 เศรษฐีไทย ลดลงกว่า 28,000 ล้านเหรียญ หรือลดลงประมาณ 9.34 แสนล้านบาท เรียกได้ว่า ธุรกิจขนาดใหญ่ก็ได้รับผลกระทบขนาดหนักจากสงครามการค้า และวิกฤตโควิด

อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดวิกฤตทุกครั้ง สิ่งที่ตามมาคือความสามัคคี ร่วมด้วยช่วยกัน โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตการณ์โรคระบาดโควิด-19 ที่ถือเป็นวิกฤตใหญ่ครั้งร้ายแรงในประวัติศาสตร์โลก

นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา กระทบทั้งธุรกิจใหญ่ กลาง เล็ก จนหลายแห่งปิดกิจการ กระทบคนหาเช้ากินค่ำ ไม่ว่ารวย หรือจน คนทุกระดับ ทำให้นาทีนี้ การรวมใจทำสิ่งที่แต่ละภาคส่วนทำได้ เพื่อสังคมเป็นสิ่งสำคัญ

ทั้งโลกได้เห็นพลังอันยิ่งใหญ่ที่เข้ามาส่งต่อความดีงามให้กับสังคมอย่างเร่งด่วนและทรงพลัง ด้วยศักยภาพของบรรดาธุรกิจใหญ่ชั้นนำทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง ที่พร้อมใจกันร่วมช่วยเหลือสังคมและประเทศที่กำลังชะงักงันจากวิกฤตโควิด-19 อย่างแสนสาหัส สะท้อนให้เห็นว่า

เมื่อโลกและประเทศต่าง ๆ กำลังเผชิญวิกฤตใหญ่ บรรดามหาเศรษฐีนักธุรกิจเหล่านี้ต่างเป็นพลังขับเคลื่อนในการร่วมลดผลกระทบโลกไปด้วยกัน แม้ธุรกิจจะกระทบหนักจนแทบพยุงไว้ไม่ไหว แต่ด้วยการรวบรวมมันสมองและกำลังที่เหลืออยู่

ภาคธุรกิจชั้นนำและมหาเศรษฐีเจ้าของธุรกิจชั้นแนวหน้าทั่วโลก ที่ไม่ได้นิ่งดูดายต่างระดมสรรพกำลังเข้ามาทั้งช่วยผลิตและบริจาคสิ่งจำเป็นทางการแพทย์และสาธารณสุขอย่างเร่งด่วน จนกลายเป็นพลังแถวหน้าร่วมกับภาครัฐของแต่ละประเทศในการร่วมต่อสู้วิกฤตโควิด-19

ล่าสุด เว็บไซต์ FORBES.COM สื่อดังระดับโลกเผยแพร่บทความล่าสุด Billionaire Tracker: Actions The World’s Wealthiest Are Taking In Response To The Coronavirus Pandemic โดยนำเสนอให้เห็นว่า

บรรดามหาเศรษฐีชั้นนำได้เข้ามาช่วยโลกรับมือวิกฤตโควิด-19 และพยุงเศรษฐกิจโลกด้วยเช่นกัน มหาเศรษฐีด้านเทคโนโลยีเบอร์ต้นของโลกอย่าง “บิลล์ เกตส์” ที่เคยออกมาเตือนถึงโรคระบาดครั้งใหญ่ ได้บริจาคเงินหลายล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อช่วยสนับสนุนการผลิตวัคซีนและวินิจฉัยโรค เช่นเดียวกับมหาเศรษฐีทุกวงการในสหรัฐฯ และทั่วโลก

ซึ่งฟอร์บสได้รวบรวมมาว่า มหาเศรษฐีชั้นนำทั่วโลกที่ต่างบริหารธุรกิจจนประสบความสำเร็จ สร้างอาณาจักรที่แข็งแกร่งนี้ พวกเขาได้ออกมาช่วยเหลือสังคมอย่างไรบ้างในยามวิกฤต มีตั้งแต่การบริจาคอุปกรณ์ทางการแพทย์และสาธารณสุข ตั้งแต่ถุงมือยาง เครื่องช่วยหายใจ เครื่องมือวินิจฉัยและตรวจหาเชื้อโควิด-19

ไปจนถึงปรับเปลี่ยนไลน์การผลิตสินค้า มาร่วมเดินเครื่องจักรผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ขาดแคลนอย่างเร่งด่วนแทน อาทิ กลุ่มธุรกิจแบรนด์แฟชั่นดัง LVMH, กลุ่มธุรกิจยานยนต์ Ford และบริษัทอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง GE และอีกหลายธุรกิจขนาดใหญ่ ที่ต่างกำลังเร่งพัฒนาวัคซีน เพื่อหยุดยั้งการแพร่กระจายของไวรัสกันอย่างเร่งด่วน

นอกจากนี้ ฟอร์บส์ยังรายงานด้วยว่า ทำเนียบมหาเศรษฐีที่ร่วมเข้ากอบกู้วิกฤตครั้งนี้ หนึ่งในนั้นมีชื่อของคนไทย “ธนินท์ เจียรวนนท์” ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ ซีพี เอกชนชั้นนำของประเทศไทยเจ้าของอาณาจักรอุตสาหกรรมด้านเกษตรและอาหารเบอร์ต้นของโลก

ฟอร์บส รายงานว่า นายธนินท์ได้เปิดตัวโครงการช่วยเหลือต่างๆ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับสังคมจากวิกฤตโควิด-19 หลายโครงการและถือเป็นแนวคิดริเริ่มครั้งแรกไม่ว่าจะเป็น การทุ่มงบประมาณสร้างโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยแจกฟรีให้ทุกคน

โดยตั้งเป้าจะเร่งผลิตให้ได้วันละ 100,000 ชิ้น หรือเดือนละ 3 ล้านชิ้น เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนหน้ากากสำหรับบุคลากรทางการแพทย์และประชาชนทั่วไป จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย

ขณะเดียวกันได้มอบชุดป้องกันการติดเชื้อเพื่อแพทย์ พยาบาล และบุคลากรโรงพยาบาล ตลอดจนมีโครงการจัดส่งอาหารฟรีให้บุคลากรโรงพยาบาลรัฐกว่า 40 แห่งทั่วประเทศ และกลุ่มเสี่ยงที่ต้องกักบริเวณ รวมทั้งการประกาศว่าจะไม่มีการขึ้นราคาสินค้าในสถานการณ์วิกฤตครั้งนี้

นอกจากนี้ได้มีการรวมรวมโครงการเพื่อสังคมที่กลุ่มซีพีได้ดำเนินการในช่วง 4 ปีที่ผ่านมากว่า 450 ล้านเหรียญสหรัฐ ไม่ว่าจะเป็นเงินบริจาคเงินและอาหารยามวิกฤตน้ำท่วม ทุนการศึกษา โครงการผิงกู่ และการลงทุนให้สังคมด้านการศึกษา ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ฟอร์บสได้รวบรวมและรายงานให้เห็นภาพของกลุ่มธุรกิจ และมหาเศรษฐีชั้นแนวหน้าของโลกที่ทุ่มเทอย่างเต็มกำลัง เพื่อร่วมกู้วิกฤตโควิด-19 อย่างเป็นรูปธรรมจำนวนเกือบร้อยคน นอกจาก “บิลล์ เกตส์” แล้วยังมี “แจ็ก หม่า” ผู้ร่วมก่อตั้งอาณาจักร Alibaba ได้ให้คำมั่นว่าจะมอบเงิน 14 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในการพัฒนาวัคซีนโควิด-19

นอกจากนี้ เขายังบริจาคชุดทดสอบโรค 500,000 ชุด และหน้ากากอนามัย 1 ล้านชิ้นให้กับประชาชนชาวสหรัฐอเมริกา รวมทั้งได้ส่งเวชภัณฑ์และชุดทดสอบโรคไปยังอิตาลี และประเทศอื่น ๆ ทั่วแอฟริกา ละตินอเมริกา เอเชีย และล่าสุดได้จัดตั้ง Global MediXchange สำหรับการรวมองค์ความรู้โควิด-19 เพื่อแบ่งปันข้อมูลกับแพทย์ทั่วโลก ซึ่งเป็นแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดระหว่างการแพร่ระบาด

ขณะที่เบอร์นาร์ด อาร์โนลต์ แห่ง LVMH เจ้าของแบรนด์ หลุยส์ วิตตอง ได้แปลงโรงงานน้ำหอมสามแห่งของ LVMH เพื่อผลิตน้ำยาฆ่าเชื้อล้างมือแจกจ่ายให้กับหน่วยงานของฝรั่งเศสและระบบโรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปฟรี ทั้งยังจัดหาหน้ากากอนามัยอย่างน้อย 40 ล้านชิ้นให้กับฝรั่งเศสโดยจ่ายเงินประมาณ 5.4 ล้านดอลลาร์ (5 ล้านยูโร) สำหรับการจัดส่งในสัปดาห์แรก

ส่วนเศรษฐีเจ้าของอาณาจักรเฟซบุ๊ค “มาร์ค ซักเคอเบิร์ก” ได้ร่วมพามูลนิธิของเขาทำงานร่วมกับ UC San Francisco และ Stanford University เพื่อเร่งวินิจฉัยโรค ตลอดจนซื้อเครื่องตรวจวินิจฉัยที่ได้รับการอนุมัติ จาก FDA

นอกจากนี้ยังประกาศมอบเงิน 100 ล้านดอลลาร์เพื่อช่วยเหลือธุรกิจขนาดเล็กที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตนี้ และได้บริจาคเงิน 20 ล้านดอลลาร์ให้กับสหประชาชาติ องค์การอนามัยโลก และศูนย์ควบคุมโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (CDC)

ขณะเดียวกันยังประกาศจะบริจาคเงินสำรองฉุกเฉิน เพื่อซื้อหน้ากากจำนวน 720,000 ชิ้น ให้กับเจ้าหน้าที่ด้านสุขภาพ และจะทำงานเพื่อหาแหล่งบริจาคอีกนับล้านต่อไป

ฟาก “เจฟฟ์ เบโซส” เจ้าของอาณาจักรแอมาซอน ลงทุนจำนวน 20 ล้านเหรียญสหรัฐ ในโครงการ AWS Diagnostic Development Initiative เพื่อสร้างชุดการทดสอบโควิด-19 รวมทั้งยังช่วยสนับสนุนการจ้างงานเต็มเวลาและพาร์ทไทม์ 100,000 ตำแหน่งทั่วสหรัฐอเมริกา ตลอดจนเพิ่มค่าจ้างรายชั่วโมงในอเมริกาและทั่วโลก

โดยแอมาซอนยังบริจาคเงิน 1 ล้านดอลลาร์ให้กับกองทุนฉุกเฉินโควิด-19 ในวอชิงตัน ดี.ซี. และสร้างกองทุนบรรเทาทุกข์ 5 ล้านดอลลาร์สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก และบริจาค 1 ล้านดอลลาร์ให้กับมูลนิธิซีแอตเทิลใหม่ เพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากไวรัสระบาดด้วย

ขณะที่ “ลี กา-ชิง” นักลงทุนผู้มีอิทธิพลมากที่สุดในเอเชียบริจาคเงิน 13 ล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยเหลือเมืองอู่ฮั่น เป็นศูนย์กลางของการแพร่ระบาดของโรค

ขณะเดียวกันมูลนิธิของเขายังได้แจกจ่ายหน้ากากอนามัยจำนวน 250,000 ชิ้น ให้กับองค์กรสวัสดิการสังคมและที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุในฮ่องกง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook