"หมอเลี้ยบ" ยกสถิติยอดตรวจโควิด-19 ชี้ควรทำได้ดีกว่านี้ โดยผ่อนกฎเกณฑ์ลง
วันนี้(7 เม.ย.) นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรองนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวถึง สถานการณ์การตรวจหาผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา หรือ โควิด-19 โดยชี้ว่าไทยมีสถิติการตรวจใกล้เคียงกับเกาหลีใต้ แต่ควรจะทำได้ดีกว่านี้ ด้วยการลดเกณฑ์ของกลุ่มเสี่ยงลง พร้อมชู 4 ปัจจัย ที่ทำให้ไทยยังตรวจได้น้อย โดยระบุว่า
ประเทศไทยตรวจโควิดมาแล้ว 71,860 ตัวอย่าง ไม่ใช่เพียง 25,071 ตัวอย่าง
ถึงวันที่ 6 เมษายน 2563 ประเทศไทยมีผู้ป่วยโควิดสะสมรวม 2,220 ราย เสียชีวิต 26 ราย หายป่วยแล้ว 793 ราย คงเหลือผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ 1,401 ราย เป็นผู้ป่วยหนัก 23 ราย วันที่ 6 เมษายนมีผู้ป่วยใหม่เพียง 51 ราย จึงมีคำถามว่า มีรายงานผู้ป่วยน้อยเพราะเราตรวจ RT-PCR Test หาผู้ป่วยโควิดน้อยใช่หรือไม่
ใน worldometers.info ให้ข้อมูลว่า ประเทศไทยตรวจ test ไปทั้งสิ้น 25,071 ตัวอย่าง คิดเป็น 359 tests ต่อประชากร 1,000,000 คน พบผู้ป่วย 2,220 คน (คิดเป็น 8.85%)
ขณะที่เกาหลีใต้ ตรวจไป 461,233 ตัวอย่าง คิดเป็น 8,996 tests ต่อประชากร 1,000,000 คน พบผู้ป่วย 10,331 คน (คิดเป็น 2.24%)
เยอรมัน ตรวจไป 918,460 ตัวอบ่าง คิดเป็น 10,962 tests ต่อประชากร 1,000,000 คน พบผู้ป่วย 100,375 คน (คิดเป็น 10.9%)
ถ้าดูจากข้อมูลข้างต้น ประเทศไทยตรวจน้อยกว่าเกาหลีใต้ 25 เท่า (ต่อประชากร 1,000,000 คน) และน้อยกว่าเยอรมัน 30.5 เท่า (ต่อประชากร 1,000,000 คน)
ไทยพบผู้ป่วยจากการตรวจ Test มากกว่าเกาหลีใต้ถึง 4 เท่า และเยอรมันพบผู้ป่วยจากการตรวจ Test มากกว่าเกาหลีใต้ถึง 5 เท่า ซึ่งแสดงว่า ทั้งไทยและเยอรมันยังตรวจไม่ได้กว้างขวางเท่าเกาหลีใต้
ผมถามแหล่งข่าวในกระทรวงสาธารณสุขว่า ทำไมเราจึงตรวจน้อย ทั้งๆที่การตรวจหาผู้ป่วยได้เร็ว จะช่วยหยุดการระบาดของโรคในชุมชน และยังช่วยให้การรักษาได้ผลดีขึ้น เพราะผู้ป่วยได้รับยาเร็ว อัตราตายจะน้อยลง แหล่งข่าวให้ข้อมูลว่า ปัญหาการตรวจน้อยเกิดขึ้นเพราะสาเหตุ 4 ประการ
- ปริมาณของห้องแล็บมีอยู่น้อยในระยะแรก และส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพ แต่ปัจจุบันมีห้องแล็บทั่วประเทศทั้งรัฐและเอกชนที่สามารถตรวจได้แล้ว 77 แห่ง (สามารถตรวจได้วันละประมาณ 20,000 Tests) แล้วจะขยายเป็น 107 แห่งภายในเดือนเมษายน
- การตั้งเกณฑ์ผู้เข้าข่ายในการตรวจ Test ซึ่งเมื่อก่อนมีหลักเกณฑ์ที่เฉพาะเจาะจง ผูกเป็นเงื่อนไขหลายข้อ แต่วันนี้ผ่อนคลายหลักเกณฑ์ลงแล้วเพื่อให้ตรวจได้กว้างขวางขึ้น ทำให้ผุ้ไม่มีไข้ แต่มีอาการไอ น้ำมูก เจ็บคอ และมีประวัติสัมผัสกลุ่มเสี่ยง ก็อยู่ในเกณฑ์เข้ารับการตรวจ Test ได้
- ความไม่ชัดเจนของค่าใช้จ่ายในการตรวจ Test ทำให้ผู้ที่สงสัยว่า ตนป่วยเป็นโรคโควิดหรือไม่ ต้องยินยอมเสียค่าใช้จ่ายในการตรวจ Test กับภาคเอกชน
บัดนี้ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้ตั้งงบประมาณอุดหนุนค่าใช้จ่ายในการตรวจ Test สำหรับผู้เข้าเกณฑ์รายละ 3,000 บาท โดยจะจ่ายให้ทั้งหน่วยงานรัฐและเอกชน ผู้รับการตรวจจึงไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ไม่ว่า เป็นสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สิทธิประกันสังคม และสิทธิสวัสดิการข้าราชการ - ก่อนหน้านี้ไม่มีการรวมศูนย์ข้อมูลผู้มารับการตรวจ Test ทั้งหมดไว้ที่เดียว มีแต่ข้อมูลผู้ตรวจ Test แล้วให้ผลบวกซึ่งต้องแจ้งมายังกรมควบคุมโรคตามกฎหมายเท่านั้น
ดังนั้น จำนวน Test ที่แจ้งกันเป็นทางการจึงน้อยกว่าความเป็นจริงมาก เฉพาะส่วนราชการเองก็ยังรวบรวมได้ไม่ครบถ้วน ส่วนภาคเอกชนยิ่งไม่มีข้อมูลเลย ปัจจุบัน สำนักหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ร่วมกับกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ รับเป็นเจ้าภาพในการรวบรวมตัวเลขการตรวจ Test ทั้งหมดในประเทศไทย ซึ่งจะทำให้เราทราบตัวเลขที่แท้จริง
หลังจากได้แก้ปัญหาทั้ง 4 ประการแล้ว จากการรวบรวมข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขพบว่า จำนวนตัวอย่างที่ได้รับการตรวจโควิด ด้วย RT-PCR ตั้งแต่เดือนมกราคม - วันที่ 4 เมษายน 2563 มีการตรวจไปแล้ว 71,860 ตัวอย่าง คิดเป็น 1,029 tests ต่อประชากร 1,000,000 คน น้อยกว่าเกาหลีใต้ 8.7 เท่า (จากตัวเลขเดิม 25 เท่า) และน้อยกว่าเยอรมัน 10.6 เท่า (จากตัวเลขเดิม 30.5 เท่า) ซึ่งหากเราเร่งตรวจมากขึ้น หลังจากแก้ปัญหาทั้ง 4 ประการไปแล้ว ช่วงห่างจะแคบลง
สรุปแล้ว ไทยพบผู้ป้วยจากการตรวจ RT-PCR 3.09% (จากตัวเลขเดิม 8.85%) เมื่อเทียบกับเกาหลีใต้ 2.24% และเยอรมัน 10.9% ถือได้ว่า การตรวจคัดกรองของไทยทำได้กว้างขวางพอสมควร ใกล้เคียงกับเกาหลีใต้ แต่เราควรทำได้ดีกว่านี้ ถ้าเร่งปูพรมตรวจมากขึ้น โดยผ่อนคลายกฎเกณฑ์ลง เพราะกำลังการตรวจ 20,000 Tests ต่อวันสามารถรองรับได้