บิ๊กตู่ ประกาศ โควิด-19 เป็นวาระแห่งชาติ เร่งบริหารงบฟื้นฟูเศรษฐกิจ-เยียวยาผลกระทบ
วันนี้ (7 เม.ย. 63) เวลา 14.00 น. ณ ห้องสีฟ้า ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ที่มีมติเห็นชอบการแก้ไขปัญหาสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด–19 ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานจัดทำมาตรการต่างๆ ที่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินงบประมาณ โดยที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้หารือใน 3 ประเด็น ได้แก่
ประเด็นแรก การจัดทำพระราชบัญญัติการโอนงบประมาณปี 2563 เพื่อนำเงินส่วนหนึ่งกลับมาใช้ในระบบ โดยจะเป็นการเติมเต็มงบประมาณกลางให้มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ งบประมาณปี 2563 ได้มีการใช้จ่ายไปพลางก่อนพอสมควร ซึ่งคาดว่าเหลืออยู่จำนวน 80,000 - 100,000 ล้านบาท และมาเพิ่มเติมในส่วนของงบประมาณกลางที่ในปัจจุบันนั้นมีอยู่ 3,000 ล้านบาท จากที่ตั้งงบประมาณกลางปี 2563 ไว้ 69,000 ล้านบาท
ซึ่งจะนำเสนอคณะรัฐมนตรีและให้สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาพิจารณาอีกครั้ง โดยคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ประมาณต้นเดือนมิถุนายน ทั้งนี้ แต่ละวงเงินงบประมาณมีข้อกำหนดที่แตกต่างกันว่าส่วนไหนที่สามารถโอนได้และโอนไม่ได้ ซึ่งการจะปรับลดงบประมาณลงร้อยละ 10 นั้น ไม่สามารถทำได้ เพราะไม่เป็นไปตามกฎหมายหรือพระราชบัญญัติงบประมาณ
ประเด็นสอง คือ พระราชกำหนดของธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นการบริหารจัดการเชิงการเงินการคลัง ไม่ใช่การกู้เงิน โดยธนาคารแห่งประเทศไทยมีวงเงินประมาณ 900,000 ล้านบาท ไม่ใช่เงินกู้หรือเงินของรัฐบาล แต่เพิ่มอำนาจในการบริหารจัดการของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งทางธนาคารแห่งประเทศไทยจะทำการชี้แจงในลำดับต่อไป
ประเด็นที่สาม คือ พระราชกำหนดให้กระทรวงการคลังกู้เงิน วงเงิน 1 ล้านล้านบาท เพื่อแก้ไขปัญหาส่วนแรกคือ การเยียวยา ดูแล และแผนงานด้านสาธารณสุขประมาณ 600,000 ล้านบาท กับส่วนที่สอง คือ แผนงานฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจของประเทศไทยประมาณ 400,000 ล้านบาท จะต้องดำเนินการควบคู่กันไป
ทั้งสองส่วนนี้สามารถปรับโอนกันได้ตามความสมควร ดังนั้น รัฐบาลจะมีเงินสองส่วนจากเงินกู้ 1 ล้านล้านบาท และเงินปรับโอนงบประมาณ หลัง พ.ร.บ. งบประมาณ มีผลบังคับใช้ในเดือนมิถุนายน ซึ่งตอนนี้จะรีบดำเนินการเรื่องพระราชกำหนด ที่มีการจัดทำมาตรการต่างๆ เรียบร้อยแล้ว
นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรียังพิจารณาเรื่องระบบอุทกภัยและการแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำของแม่น้ำยม ที่มีการจัดทำแผนเพื่อรองรับปัญหาน้ำท่วมในฤดูฝน รวมถึงการกักเก็บน้ำในลุ่มน้ำแม่น้ำยมเพื่อแก้ไขปัญหาสถานการณ์ภัยแล้ง
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า รัฐบาลยังยืนยันถึงเจตนารมย์อันแน่วแน่ในการดูแลสุขภาพของประชาชนคนไทยทุกคน จึงขอความร่วมมือและขอให้เข้าใจในการทำงานของรัฐบาลที่มีคนจำนวนมากจากหลายหน่วยงานร่วมกันทำงาน เพื่อดูแลคนจำนวนมากเช่นเดียวกัน ทั้งผู้ที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศที่จะต้องเข้าสู่กระบวนการ State Quarantine จึงต้องมีการบูรณาการการทำงานร่วมกัน
โดยเฉพาะสนามบินที่มีการจัดตั้งศูนย์ EOC ซึ่งอยู่ในการดูแลของกระทรวงสาธารณสุขที่ได้รับความร่วมมือจากกระทรวงคมนาคมและฝ่ายความมั่นคงด้วย รวมถึงได้สั่งให้ชะลอการเดินทางเข้าประเทศ เพื่อให้เกิดความสะดวกต่อการส่งต่อ การตรวจคัดกรองโรค และเข้าสู่กระบวนการ Quarantine
อย่างไรก็ตาม คณะรัฐมนตรียังมีมติให้ประกาศสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด–19 เป็นวาระแห่งชาติ ขอให้ประชาชนทุกคนรับข้อมูลมาตรการต่างๆ รวมถึงการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐบาล ทั้งนี้ รัฐบาลยินดีรับฟังข้อสังเกตทุกฝ่ายและพร้อมจะช่วยเหลือเยียวยาทั้งผู้ประกอบการและภาคแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด–19
ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรียังย้ำข้อสั่งการ มอบหมายให้ทุกกระทรวง หน่วยงาน เสนอมาตรการในการแก้ไขปัญหา แต่มีความจำเป็นที่จะต้องคัดกรองเพื่อให้สอดคล้องกับการใช้งบประมาณของรัฐบาล และเป็นไปตามกฎหมายเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานมากที่สุด