ผู้เชี่ยวชาญชี้ มาตรการสุดชิลของสวีเดนในช่วง “COVID-19” อาจไม่ได้ผล
ขณะที่โคล ฟู ออกไปวิ่งในช่วงบ่ายของวันจันทร์ ตามท้องถนนของกรุงสต็อกโฮล์มต่างก็คลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่มานั่งดื่มกินในร้านอาหาร ดื่มด่ำไปกับวันที่แสนอบอุ่นกับแสงแดดที่ไม่ได้เห็นมาตลอดฤดูหนาวที่ยาวนาน
“ถ้าคุณเดินไปรอบ ๆ คุณจะไม่เจอความตื่นตระหนกใด ๆ เลย ท้องถนนก็วุ่นวายเหมือนเมื่อฤดูใบไม้ผลิปีที่แล้ว” โคล ฟู ที่เพิ่งย้ายจากสหรัฐอเมริกามายังสวีเดนเมื่อปีที่แล้ว กล่าว
เมื่อ “ไวรัสโคโรนา” บุกยุโรป ชาวสวีเดนอยู่อย่างไรในสถานการณ์นี้
ในขณะที่พื้นที่สาธารณะของประเทศอื่นในยุโรปไร้ผู้คน ประชาชนจะออกจากบ้านได้ก็เพื่อจับจ่ายซื้อของที่จำเป็นและยารักษาโรคเท่านั้น ชีวิตของประชาชนในสวีเดนก็ยังดำเนินไปเหมือนเดิม และแทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง เด็ก ๆ เดินไปโรงเรียนและผู้ใหญ่ก็พบปะสังสรรค์กันที่บาร์ใกล้บ้าน มีเพียงกลุ่มเสี่ยงที่ได้รับคำแนะนำให้แยกตัวออกจากผู้อื่น และบางส่วนก็ทำงานจากที่บ้าน อย่างไรก็ตาม ยอดผู้ติดเชื้อ COVID-19 ในสวีเดนก็มีมากกว่า 9,141 รายและเสียชีวิตแล้วกว่า 793 ราย ผู้เชี่ยวชาญต่างแสดงความกังวลต่อมาตรการที่ไม่เข้มงวดนี้ เพราะอาจนำไปสู่การแพร่ระบาดที่รุนแรงในประเทศที่มีประชากรเพียง 10 ล้านคนนี้
สวีเดนมีอัตราการเสียชีวิตที่สูงมาก โดยในวันที่ 8 เม.ย. สูงถึง 7.68 เปอร์เซ็นต์ของชาวสวีเดนที่ได้รับการตรวจพบโรค COVID-19 ทั้งหมด ในขณะที่ประเทศใกล้เคียงอย่างนอร์เวย์และเดนมาร์กมีอัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ 1.46 เปอร์เซ็นต์ และ 3.85 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับเท่านั้น อัตราการเสียชีวิตของสวีเดนที่เพิ่มสูงขึ้นอาจเป็นผลมาจากจำนวนการตรวจคัดกรองโรคที่น้อยกว่าประเทศใกล้เคียง แต่ผู้เชี่ยวชาญก็ชี้ว่า นโยบายการไม่แทรกแซงของรัฐบาลก็อาจอีกปัจจัยหนึ่ง
รัฐบาลสวีเดนยังคงสนับสนุนมาตรการที่ผ่อนคลาย สำนักสาธารณสุขของสวีเดนได้ออกเตือนประชาชนว่าต้องปิดปากทุกครั้งที่ไอหรือจาม และต้องล้างมืออย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ประกาศมาตรการล็อกดาวน์ ในวันที่ 11 มี.ค. รัฐบาลได้สั่งห้ามการรวมตัวกันมากกว่า 500 คน และลดลงมาที่ 50 คนในวันที่ 29 มี.ค. ขณะที่ประเทศอื่น ๆ เช่น เยอรมนีและออสเตรเลีย ได้สั่งห้ามการรวมตัวกันที่มากกว่า 2 คนขึ้นไป ทั้งนี้ สวีเดนก็ได้ประกาศให้สายการบินภายในประเทศทำการบินต่อไป แม้จะมีความเสี่ยงเรื่องการแพร่ระบาดของโรคที่มาพร้อมกับการเดินทางภายในประเทศก็ตาม
แอนเดอร์ เทกเนลล์ หัวหน้านักระบาดวิทยาของสวีเดนสังเกตการรับมือของรัฐบาลต่อโรค COVID-19 และชี้ว่า รัฐบาลควรปล่อยให้เชื้อแพร่ระบาดในประชากรอย่างช้า ๆ ซึ่งเป็นวิธีการที่ถูกใช้ในสหราชอาณาจักรและเนเธอร์แลนด์ ก่อนที่ 2 ประเทศนี้จะเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นและมีแนวโน้มว่าจะทำให้ระบบสาธารณสุขของประเทศต้องเจอกับปัญหาที่เกินจะรับมือไหว ในวันที่ 5 เม.ย. เทกเนลล์ให้สัมภาษณ์ทางช่องโทรทัศน์ของสวีเดน ว่า สามารถหยุดยั้งโรค COVID-19 ได้ ด้วย “ภูมิคุ้มกันหมู่” (Herd Immunity) หรือ “การผสมกันของระบบภูมิคุ้มกันและวัคซีน” แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนในสวีเดนก็แสดงความคิดเห็นว่ากลยุทธ์ที่ใช้อยู่ในขณะนี้เป็นวิธีการที่อันตราย
“ภูมิคุ้มกันหมู่ไม่สมเหตุสมผลเพราะเรายังไม่รู้เลยว่าเราจะสามารถสร้างภูมิคุ้มกันป้องกันโรคนี้ได้จริงหรือไม่” เนเล บรุซเซลเลีย อาจารย์ประจำภาควิชาระบาดวิทยาคลินิก ชี้ พร้อมเสริมว่า “นี่เป็นเชื้อไวรัสที่สามารถฆ่าเราได้ทุกคน”
ในช่วงปลายเดือนมีนาคม แพทย์ นักวิทยาศาสตร์ และนักวิชาการกว่า 2,300 คนได้ส่งจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐบาล เรียกร้องให้มีการใช้มาตรการที่เข้มงวดกว่านี้
“เราไม่คิดว่ามีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถยืนยันวิธีการนี้ของพวกเขาได้” ซิซีเลีย โซเดอร์เบิร์ก-นูแคลร์ผู้เชี่ยวชาญด้านจุลชีววิทยาและหนึ่งในผู้ลงชื่อในจดหมายเปิดผนึก กล่าว พร้อมชี้ว่ารัฐบาลไม่เต็มใจที่จะเปิดเผยข้อมูลให้นักวิทยาศาสตร์ได้รับรู้ ซึ่งทำให้เธอเชื่อว่าวิธีการของรัฐบาล “ไม่ได้อยู่บนฐานของหลักฐานทางวิทยาศาสตร์”
สอดคล้องกับ คารินา คิง นักระบาดวิทยาโรคติดต่อ ที่มองว่าความไม่โปร่งใสของรัฐบาลทำให้ “เป็นเรื่องที่ยากมากที่จะทำให้นักวิทยาศาสตร์เชื่อวิธีของพวกเขา” ทั้งนี้ เธอยังเสริมอีกว่ารัฐบาลไม่พยายามอย่างเป็นรูปธรรมในการตรวจคัดกรองโรค สอบสวนหาเชื้อโรค และกักกันผู้มีความเสี่ยงติดโรค เหมือนที่เกาหลีใต้ทำ ซึ่งเป็นมาตรการพื้นฐานที่จะหยุดยั้งการแพร่ระบาดในประเทศตั้งแต่การเริ่มต้นของการระบาด อย่างไรก็ตาม เธอก็ชี้ว่า สวีเดนอาจสามารถแสดงให้เห็นได้ว่ามาตรการล็อกดาวน์ประเทศอาจไม่จำเป็น
“สวีเดนมีเอกลักษณ์ประจำตัว ไม่ได้มีครอบครัวที่มีช่วงอายุต่างกันมาก ดังนั้นมันจึงเป็นประเทศที่สามารถใช้วิธีการผสมได้”
ถึงแม้ระยะห่างของความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลจะถูกให้คุณค่าในวัฒนธรรมของสวีเดน และกว่า 40 เปอร์เซ็นต์เป็นครอบครัวเดี่ยวที่ไม่มีลูก แต่ผู้เชี่ยวชาญก็อธิบายว่า COVID-19 ก็ยังสามารถแพร่ระบาดได้อย่างเป็นวงกว้าง สวีเดนมีจำนวนเตียงผู้ป่วยวิกฤติที่น้อยเป็นอันดับ 2 ในยุโรป รองจากประเทศโปรตุเกส หรือมี 5 เตียงต่อจำนวนประชากร 100,000 คน จึงมีแนวโน้มว่าระบบสุขภาพของประเทศจะไม่สามารถรับมือกับการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ได้
ผู้เชี่ยวชาญยังชี้อีกว่า รัฐบาลสวีเดนไม่ทำตามข้อแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่แนะนำให้ประเทศที่มีการระบาดของโรค COVID-19 ต้องทำการสอบสวนโรคและใช้มาตรการแยกตัวเองที่เข้มงวด
“ฉันทั้งตกใจและหงุดหงิดที่พวกเขายังไม่ลงมือทำอะไร หรือรับฟังข้อแนะนำขององค์การอนามัยโลก พวกเขาไม่สนใจการคาดการณ์ของผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้น ๆ พวกเขาไม่แม้แต่จะป้องกันเลยด้วยซ้ำ” บรุซเซลเลียกล่าว
หัวหน้าแพทย์ของโรงพยาบาลขนาดใหญ่ในสวีเดนกล่าวว่า วิธีการที่ใช้อยู่ในขณะนี้จะ “จบในรูปแบบของการสังหารหมู่ที่เป็นประวัติศาสตร์” โดยบุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลของเขาที่ตรวจพบเชื้อไวรัสโคโรนา แต่ไม่แสดงอาการ ยังต้องมาทำงานอยู่ อย่างไรก็ตาม เขาขอที่จะไม่เปิดเผยชื่อเพราะ “มันเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ที่จะพูดถึงการระบาดหรือแสดงความคิดเห็นที่ขัดแย้งกับรัฐบาล” แต่เขาก็รู้สึกว่านี่เป็นสิ่งที่ต้องสื่อสารออกมาจาก “มุมมองจริยธรรมวิชาชีพแพทย์”
สภานิติบัญญัติของสวีเดนจะประชุมในสัปดาห์นี้เพื่อหาข้อตกลงเรื่องการเพิ่มมาตรการที่เข้มงวดมากขึ้นสำหรับภาคธุรกิจและการท่องเที่ยว โซเดอร์เบิร์ก-นูแคลร์ ชี้ว่า มันสายเกินไปแล้วที่จะป้องกันความชุลมุนวุ่นวายในสต็อกโฮล์ม แต่มาตรการล็อกดาวน์อาจยังสามารถใช้ได้ในส่วนอื่น ๆ ของประเทศ ทั้งนี้ เธอยังเสริมว่า จากรูปแบบที่เธอได้เห็น ระบบสุขภาพของสวีเดนจะล่มสลายแน่นอน หากไม่มีการใช้มาตรการที่เข้มงวดอย่างทันท่วงที
“ฉันจะไม่ยอมแพ้จนกว่ารัฐบาลจะแสดงหลักฐานสำหรับวิธีการของพวกเขาให้เราได้ดู”
แต่ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญดูจะมีปัญหากับวิธีการของรัฐบาล ชาวสวีเดนมากมายต่างชื่นชอบวิธีการนี้ ผลสำรวจของ Opinion แสดงให้เห็นว่า ประชาชนของสวีเดนเชื่อใจกระทรวงสาธารณสุขของพวกเขา โดยกว่า 48 เปอร์เซ็นต์แสดงว่าพวกเขามีความมั่นใจในรัฐบาลเป็นอย่างมาก
“เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากที่ชาวสวีเดนจะไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล ถึงแม้คนทั่วไปกลัวที่จะสูญเสียคนที่พวกเขารัก พวกเขาก็ยังเชื่อว่ารัฐบาลกำลังทำในสิ่งที่ถูกต้อง” โคล ฟูกล่าว
ยิ่งไปกว่านั้น ชาวสวีเดนยังมีความมั่นใจในนักการเมืองของพวกเขา ในทางกลับกันนักการเมืองก็เชื่อมั่นว่าประชาชนจะทำตามคำแนะนำของพวกเขาเช่นกัน
“ในสวีเดน วิธีการที่ทำก็คือให้คำแนะนำแล้วก็ในประชาชนเป็นคนตัดสินเอง” โจฮาน ลัลเลอร์สเติตท์ ผู้สร้างภาพยนตร์วัย 23 ปี กล่าว
แต่โซเดอร์เบิร์ก-นูแคลร์ก็เชื่อว่าการระบาดของโรคในครั้งนี้จะเป็นจุดจบความไว้ใจรัฐบาลของประชาชนที่มีมาอย่างยาวนาน และกล่าวทิ้งท้ายว่า “หากคุณทำให้ชีวิตของคนต้องพบกับความเสี่ยงในสังคมประชาธิปไตย และคุณก็ไม่เข้าไปช่วยเหลือ แล้วสังคมจะเชื่อใจนักการเมืองได้อย่างไร ฉันไม่อยากอยู่ในสังคมที่ปฏิบัติกับประชาชนแบบนี้”