บทเรียนจาก “ผู้นำหญิง” ที่สะท้อนในวิกฤติ “โควิด-19”

บทเรียนจาก “ผู้นำหญิง” ที่สะท้อนในวิกฤติ “โควิด-19”

บทเรียนจาก “ผู้นำหญิง” ที่สะท้อนในวิกฤติ “โควิด-19”
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ในสถานการณ์ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ที่ทั่วทั้งโลกต่างได้รับผลกระทบ แต่ละประเทศก็มีมาตรการที่แตกต่างกันออกไปเพื่อใช้รับมือกับวิกฤติการแพร่ระบาดของโรคอุบัติใหม่นี้ ในขณะที่หลายประเทศกำลังประสบปัญหายอดผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตที่เพิ่มมากขึ้น ก็ยังมีบางประเทศที่สามารถรับมือกับสถานการณ์ของโรคโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะประเทศไอซ์แลนด์ เยอรมนี นิวซีแลนด์ ฟินแลนด์ และไต้หวัน ซึ่งสิ่งที่น่าใจคือประเทศเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มี “ผู้นำหญิง” และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นอาจเป็นบทเรียนที่สะท้อนการทำงานของผู้นำหญิงเหล่านี้ได้

เปิดเผยข้อเท็จจริง

อังเกลา แมรเคิล นายกรัฐมนตรีประเทศเยอรมนี ได้กล่าวแถลงการณ์ต่อประชาชนของเธออย่างสุขุม ว่าประชาชนอาจติดเชื้อ โควิด-19 มากถึง 70 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งหมด โดยเธอชี้ว่า “นี่เป็นเรื่องจริงจัง ที่เราทุกคนต้องรับมือกับมันอย่างจริงจัง” หลังจากนั้น ประเทศเยอรมนีก็เริ่มทำการตรวจคัดกรองโรคอย่างเคร่งครัด ส่งผลให้ยอดผู้ติดเชื้อในประเทศมีจำนวนน้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้าน หลายประเทศ และมีแนวโน้มว่าอาจจะสามารถลดระดับมาตรการเฝ้าระวังโรคได้ในเร็ววันนี้

ไต้หวันก็ถูกจัดให้เป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่สามารถรับมือกับโรคโควิด-19 ได้อย่างรวดเร็ว ย้อนกลับไปในเดือนมกราคม ซึ่งปรากฏสัญญาณของโรคอุบัติใหม่ขึ้น ไช่ อิงเหวิน ประธานาธิบดีของไต้หวันก็ได้ประกาศใช้ 124 มาตรการเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาด โดยไม่ใช้มาตรการล็อกดาวน์ และยังสามารถส่งหน้ากากอนามัยกว่า 10 ล้านชิ้นไปยังสหรัฐอเมริกาและประเทศในยุโรป นโยบายของอิงเหวินสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ และไต้หวันมีจำนวนผู้เสียชีวิตเพียง 6 รายเท่านั้น

ขณะที่จาซินดา อาร์เดิร์น นายกรัฐมนตรีของนิวซีแลนด์ก็ประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์ขั้นสูงที่สุดเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของโรค และใช้มาตรการแยกตัวเพื่อดูอาการสำหรับทุกคนที่เดินทางเข้าประเทศนิวซีแลนด์ แม้ในขณะนั้นจะมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพียง 6 รายก็ตาม พร้อมกันนี้ ยังห้ามผู้ที่ไม่ใช่พลเมืองนิวซีแลนด์เข้าประเทศ มาตรการที่เข้มงวดและชัดเจนนี้ ทำให้นิวซีแลนด์มีจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 เพียง 4 รายเท่านั้น ในขณะที่หลายประเทศกำลังพิจารณาลดระดับการป้องกัน อาร์เดิร์นก็ออกประกาศให้ชาวนิวซีแลนด์ที่เดินทางกลับประเทศทุกคนต้องทำการกักตัวเองในสถานที่ที่จัดเตรียมไว้ให้เป็นเวลา 14 วัน

“นิวซีแลนด์” กับมาตรการที่ปราบ COVID-19 ได้อยู่หมัด

ใช้เทคโนโลยี

ประเทศไอซ์แลนด์ ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีคาทริน จาค็อบส์ดอท์เทียร์ ได้เปิดให้ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนาได้ และกลายเป็นกรณีศึกษาสำคัญเกี่ยวกับการแพร่ระบาดและอัตราการเสียชีวิตที่แท้จริงของโรคโควิด-19 หลายประเทศทั่วโลกจำกัดการตรวจหาเชื้อสำหรับผู้ป่วยที่แสดงอาการของโรคเท่านั้น แต่ไอซ์แลนด์ทำสิ่งที่เหนือกว่า โดยสัดส่วนของประชาชนที่ได้รับการตรวจโรคมีมากกว่าเกาหลีใต้ถึง 5 เท่า พร้อมติดตั้งระบบติดตามที่ทั่วถึงจึงทำให้พวกเขาไม่ต้องทำการล็อกดาวน์ประเทศหรือปิดโรงเรียน

ผู้เชี่ยวชาญไอซ์แลนด์ชี้ 50% ของผู้ติดเชื้อ “ไวรัสโคโรนา” จะไม่แสดงอาการ

ซานนา มาริน ผู้เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่อายุน้อยที่สุดของประเทศฟินแลนด์ เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ก็ใช้ผู้ทรงอิทธิพลบนโลกอินเตอร์เน็ตเป็นตัวแทนในการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา และข้อเท็จจริงที่ว่าไม่ใช่ทุกคนจะติดตามข่าว เธอจึงใช้ผู้ทรงอิทธิพลในโลกออนไลน์ทุกวัยในการสื่อสารและเผยแพร่ข้อมูลการจัดการกับการระบาดใหญ่ในครั้งนี้

ความรัก

อาร์นา ซูลบาร์ก นายกรัฐมนตรีของนอร์เวย์ มีความคิดที่จะใช้โทรทัศน์สื่อสารโดยตรงกับเด็ก ๆ ในประเทศ โดยใช้ถ้อยแถลงเวลา 3 นาทีของเมตเต เฟรเดอริกเซน นายกรัฐมนตรีของเดนมาร์กที่ออกมาก่อนหน้านั้น และจัดทำเป็นการแถลงข่าวที่ไม่อนุญาตให้ผู้ใหญ่รับชม เธอพูดคุยกับเด็ก ๆ ทั่วประเทศ และใช้เวลาอธิบายว่าความรู้สึกกลัวในช่วงเวลาเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ปกติมาก

ความเห็นอกเห็นใจและความห่วงใยที่ผู้นำหญิงของประเทศเหล่านี้ได้สื่อสารออกไปดูคล้ายจะเป็นโลกคู่ขนานกับโลกที่เราคุ้นเคย โลกที่ผู้นำต่างแสดงออกถึงอำนาจและสร้างความหวาดกลัวให้กับประชาชน ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีงานวิจัยมากมายที่ชี้ว่าลักษณะภาวะผู้นำของผู้หญิงมีความแตกต่างและให้ประโยชน์กับสังคมได้มากกว่า กระนั้น องค์กรทางการเมืองหลายแห่งก็พยายามเปลี่ยนให้ผู้หญิงที่เข้าสู่พื้นที่การเมืองต้องแสดงออกถึงความเป็นชายมากขึ้น หากพวกเธอต้องการเป็นผู้นำหรือประสบความสำเร็จ แต่สิ่งที่เราได้เห็นจากประเทศที่มีผู้นำหญิงในสถานการณ์ของโรคโควิด-19 ก็อาจจะเป็นกรณีศึกษาให้กับอีกหลายประเทศทั่วโลกในการเปิดโอกาสให้ผู้หญิงได้เข้ามาทำหน้าที่ทางการเมืองเพิ่มมากขึ้น

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook