หมอยง แจกแจงทำไมรักษาโควิด-19 นานแล้วผลยังบวก แต่ไม่ได้แปลว่าไม่ดีขึ้น

หมอยง แจกแจงทำไมรักษาโควิด-19 นานแล้วผลยังบวก แต่ไม่ได้แปลว่าไม่ดีขึ้น

หมอยง แจกแจงทำไมรักษาโควิด-19 นานแล้วผลยังบวก แต่ไม่ได้แปลว่าไม่ดีขึ้น
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

วันนี้ (16 เม.ย.) ศาสตราจารย์นายแพทย์ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อมูลน่าสนใจเกี่ยวกับแนวทางการรักษาผู้ป่วยติดเชื้อ COVID-19 โดยมีเนื้อหาดังนี้

"โควิด-19 เรารักษาคนไข้ ไม่ใช่รักษากระดาษ

การตรวจพบเชื้ออยู่นาน หรือ ในรายที่เป็นลบ แล้วตรวจพบใหม่อีกดังที่เป็นข่าว บางรายตรวจพบเชื้ออยู่ได้นานหลายสัปดาห์ ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า การตรวจเชื้อในปัจจุบันนี้ จะตรวจหาพันธุกรรมของไวรัสหรือ RNA ของไวรัสด้วยวิธี real-time RT PCR

วิธีการดังกล่าวมีความไวสูงมาก เช่นมีไวรัสเพียง 10 - 100 ตัว ก็ตรวจพบได้ เพราะการตรวจเป็นการขยายพันธุกรรมขึ้นมาเป็น 2 ยกกำลัง 40 เช่นไวรัส 1 ตัวหรือ DNA 1 เส้น สามารถเพิ่มปริมาณไวรัส DNA ให้เป็น 2 ^ 40 เส้น ก่อนทำการวัด (เราลองคำนวณดูว่ามีกี่เส้น)

ผู้ป่วยโควิด-19 ในระยะแรกที่ได้ทำการตรวจมามาก จะพบว่ามีปริมาณไวรัสสูงมากจริงๆ จึงเป็นเหตุให้ทำไมโรคนี้ติดต่อกันง่ายมาก ในการเพิ่มจำนวนบางครั้งแค่ 10 รอบ (2 ยกกำลัง 10) เราก็ตรวจพบแล้ว แสดงว่ามีไวรัสต้นทุนอยู่มากแค่ยกกำลังนิดหน่อยก็ตรวจพบแล้ว

ถ้าได้ติดตามผู้ป่วย แม้จะเข้าอาทิตย์ที่ 2 อาทิตย์ที่ 3 ถ้าปริมาณไวรัสลดลงเรื่อยๆ จำนวนรอบในการตรวจหรือเพิ่มจำนวน ก็จะสูงขึ้น เช่น ตรวจพบที่จำนวนรอบ ยกกำลังที่ 37 และ 38 หรือในเชิงปริมาณหมายความว่า มีไวรัสน้อยลงไปเรื่อยๆ (คงจะเข้าใจยากสักนิด นี่แหละทำไมต้องเรียนคณิตศาสตร์)

ถ้าเข้าสู่อาทิตย์ที่สอง ไวรัสน้อยกว่าอาทิตย์ที่ 1 แล้วอาทิตย์ที่ 3 ไวรัสน้อยกว่าอาทิตย์ที่ 2 และน้อยลงไปเรื่อยๆ ก็ถือเป็นภาวะปกติของผู้ป่วย ผู้ป่วยที่ตรวจถึง 6 ครั้ง แล้วยังตรวจพบอยู่ ถ้าเรียงลำดับพบว่าไวรัสน้อยลงไปเรื่อยๆ ก็ถือเป็นเรื่องธรรมดาที่อาจจะเป็นไปได้

ทำนองเดียวกันในบางครั้งการตรวจให้ผลลบแล้ว เมื่อติดตามต่อไปเกิดได้ผลบวก เราก็คงจะต้องดูปริมาณไวรัสในทางอ้อม เช่นปริมาณไวรัสน้อยมาก หรือใกล้ตกขอบที่จะเป็นบวก ก็ถือว่าเป็นเรื่องเป็นไปได้ เพราะการตัดสินใจว่าเป็นบวกหรือลบ เราถืออยู่ที่เส้นๆ หนึ่ง และถ้าอยู่ใกล้เส้นที่จะเป็นบวกหรือลบ ก็คงไม่แปลก

ดังนั้นในรายที่เป็นลบ แล้วมาตรวจใหม่เป็นบวก ถ้าปริมาณไวรัสน้อยมาก ใกล้เส้นบวกลบก็ขอให้สบายใจ ไม่ใช่เรื่องที่ว่าผู้ป่วยไปติดมาใหม่ เพราะการตรวจในห้องปฏิบัติการในระดับ DNA เป็นการตรวจที่ไวมาก เพียงเศษของ DNA ไม่กี่เส้น เราสามารถขยายขึ้นมาให้ตรวจพบได้ และสิ่งที่สำคัญจะต้องรู้ว่า สารพันธุกรรมที่ตรวจพบนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ สามารถทำได้ด้วยการเพาะเชื้อว่าไวรัสยังสามารถแบ่งตัวเพิ่มจำนวนได้หรือไม่ บนเซลล์เพาะเลี้ยง

ดังนั้นการแปลผลแล็บ เราจะไม่แปลผลแล็บครั้งเดียว เราคงต้องดูครั้งก่อนหน้านั้นมาประกอบด้วย โดยเฉพาะในเชิงกึ่งปริมาณ สามารถทำได้ในห้องปฏิบัติการ หลังกลับบ้านคนไข้ต้องเก็บตัวที่รัฐจัดให้หรือที่บ้านอย่างเคร่งครัดอีกอย่างน้อย 14 วัน ไม่ให้เชื้อที่อาจหลงเหลือแพร่กระจายได้

การดูแลรักษาผู้ป่วย เราไม่ได้รักษากระดาษ ที่บอกผลมาว่าเป็น บวก หรือ ลบ เรารักษาคนไข้ ถ้าคนไข้ดีปกติทุกอย่าง เราก็พอใจมากกว่ากระดาษจะเป็นบวกหรือลบ"

ขณะที่เมื่อวานนี้ (15 เม.ย.) อาจารย์หมอยง ก็โพสต์ข้อมูลเกี่ยวกับโรคโควิด-19 ที่เป็นประโยชน์เ่ชนเดียวกัน โดยแจกแจงให้เห็นว่ากลุ่มอาชีพบางกลุ่มต้องป้องกันและระมัดระวังเป็นพิเศษจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนา โดยมีเนื้อหาดังนี้

"โควิด-19 กลุ่มอาชีพที่จะติดโรคได้ง่าย

โคโรนาไวรัสที่ทำให้เกิดโรคโควิด-19 จะพบมีปริมาณมากในทางเดินหายใจของผู้ป่วยที่มีอาการ และจำนวนหนึ่งจะไม่มีอาการ จึงทำให้ในบางรายจึงหาผู้สัมผัสโรคไม่ได้

กลุ่มอาชีพบางกลุ่มจึงต้องมีการป้องกันหรือระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอาชีพที่ต้องสัมผัสกับบุคคลจำนวนมาก

  1. กลุ่มแรกคงหนีไม่พ้นบุคลากรทางการแพทย์ทั้งหมด เพราะจะใกล้ชิดกับผู้ป่วยโดยตรง หรือโดยอ้อม ที่มีบางคนติดโรคและไม่มีอาการ แต่อาจจะแพร่เชื้อได้ จึงต้องมีมาตรการในการป้องกันตัวเองในแต่ละระดับการสัมผัสโรค
  2. ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดดูแลบริการบุคคล ผู้ป่วย หรือสัมผัสผู้ป่วย รวมทั้งผู้ที่ทำหน้าที่บริการ เช่น นวด ตัดแต่งผม
  3. อาชีพที่ทำงานในสถานที่ปิด เช่น สถานบันเทิง สนามมวย สนามกีฬาที่เป็นที่ปิด
  4. อาชีพที่ต้องใกล้ชิดกับคนจำนวนมาก ได้แก่ ประชาสัมพันธ์ พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน คนขับรถโดยสาร คนเก็บสตางค์ คนขับแท็กซี่ พนักงานที่ต้องติดต่อกับคนจำนวนมาก แม้กระทั่งตำรวจ สถานที่ตั้งด่าน
  5. แม่บ้านทำความสะอาด เช็ดถู สถานที่ต่างๆ คนเก็บขยะ
  6. ผู้ที่สัมผัสกับชาวต่างชาติ หรือต้องทำงานสัมผัสกับชาวต่างชาติ ที่เพิ่งจะเดินทางเข้าสู่ประเทศไทย

เราพยายามให้มีการทำ social distancing กำหนดระยะห่างสำหรับบุคคล แต่บางสายอาชีพไม่สามารถที่จะทำได้ บุคคลดังกล่าวจะต้องมีมาตรการในการป้องกันตัวอย่างเคร่งครัด ใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือ ใช้แอลกอฮอล์ ไม่จับต้องหน้าถ้ายังไม่ได้ล้างมือ นึกเสมอว่าเราเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะติดโรคได้ง่าย"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook