อย่าให้พี่โหด! "ดูแตร์เต" ขู่ลงโทษแบบกฎอัยการศึก หากประชาชนฝ่าฝืนล็อกดาวน์

คำขู่ของประธานาธิบดี โรดริโก ดูแตร์เต มีขึ้นระหว่างแถลงผ่านสถานีโทรทัศน์ หลังจากที่ทางการรายงานว่าจำนวนรถยนต์บนท้องถนนในกรุงมะนิลาเพิ่มขึ้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็แทบจะกลายเป็นถนนร้างนับตั้งแต่มีการประกาศมาตรการล็อกดาวน์เมื่อ 1 เดือนที่ผ่านมา โดยผู้นำฟิลิปปินส์ระบุว่า ขอให้ประชาชนมีวินัยเพิ่มขึ้น แต่หากไม่ปฏิบัติตามก็จะให้ทหารและตำรวจเข้าควบคุมเพื่อบังคับใช้กฎเว้นระยะห่างทางสังคมและเคอร์ฟิว เหมือนกับการใช้กฎอัยการศึก

ประธานาธิบดีดูแตร์เตออกมาขู่หลายครั้งว่าจะใช้กฎอัยการศึกทั่วฟิลิปปินส์ ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่เอื้อให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนครั้งเลวร้ายที่สุดในสมัยประธานาธิบดี เฟอร์ดินาน มาร์กอส อดีตผู้นำเผด็จการ ก่อนหน้านี้ดูแตร์เตได้ประกาศกฎอัยการศึกบนเกาะมินดาเนาทางตอนใต้ของประเทศ เพื่อตอบสนองต่อการยึดเมืองมาราวีโดยกลุ่มติดอาวุธที่ได้แรงบันดาลใจมาจากกลุ่มไอเอส

เมื่อเดือนมี.ค. ที่ผ่านมา มีรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นในฟิลิปปินส์ ส่งผลให้ประธานาธิบดีดูแตร์เตมีคำสั่งล็อกดาวน์เกาะลูซอน เกาะหลักทางตอนเหนือของประเทศซึ่งยังเป็นที่ตั้งของกรุงมะนิลาที่มีประชากรอยู่ราวๆ 12 ล้านคน โดยอนุญาตให้แรงงานในภาคส่วนที่จำเป็น และประชาชนที่ต้องออกไปซื้อหาอาหารหรือยาเท่านั้นที่จะสามารถออกจากบ้านได้

อย่างไรก็ตาม ในบางพื้นที่พบว่าผู้ที่เป็นแรงงานรับค่าจ้างรายวันที่ยากจนก็ไม่มีทางเลือก จำเป็นต้องออกจากบ้านไปหางาน ขณะที่ตำรวจก็รายงานว่ามีการจัดกิจกรรมละเมิดกฎเว้นระยะทางสังคมเช่นการชกมวยสมัครเล่น ตำรวจเผยว่าได้เตือนและจับกุมผู้ที่ละเมิดกฎ ออกจากบ้านโดยไม่มีเหตุจำเป็นไปแล้วหลายหมื่นคน

ประธานาธิบดีดูแตร์เตขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำฟิลิปปินส์ตั้งแต่กลางปี 2559 และได้สร้างความกังวลเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนจากการทำสงครามปราบปรามยาเสพติดที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตไปหลายพันคน ส่วนใหญ่เป็นผู้ต้องสงสัยเกี่ยวข้องกับยาเสพติดที่เป็นคนยากจน ขณะที่ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์สกัดไวรัส ก็มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นบางคนบังคับใช้มาตรการรุนแรงเกินเหตุ เช่นยามหมู่บ้านคนหนึ่งที่จับคนละเมิดเคอร์ฟิว 5 คน ที่กำลังมึนเมาขังกรงสุนัข และยังมีรายงานการแห่ประจานผู้ละเมิดกฎในที่สาธารณะเพื่อสร้างความอับอาย หรือให้พวกเขานั่งกลางแดดร้อนเป็นเวลาหลายชั่วโมง

ทั้งนี้ ฟิลิปปินส์พบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่แล้ว 5,878 ราย และมีผู้เสียชีวิตแล้ว 387 ราย เป็นหนึ่งในประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสูงอันดับต้นๆ ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้