ผู้เชี่ยวชาญเตือน เปิดประเทศหลังล็อกดาวน์ ต้องจัดการความคาดหวังของ ปชช.
หลังจากที่ใช้มาตรการ “ล็อกดาวน์” ปิดประเทศมาเป็นเวลานานเกือบ 1 เดือน เพื่อชะลอการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ขณะนี้ หลายประเทศก็เริ่มที่จะผ่อนคลายมาตรการดังกล่าวลง และอาจนำไปสู่การเปิดประเทศในที่สุด อย่างไรก็ตาม การเปิดประเทศในขณะที่ไวรัสยังแพร่กระจายอยู่ และยังไม่มีการค้นพบวัคซีนหรือวิธีการรักษาโรค COVID-19 สถานการณ์จึงยังคงเต็มไปด้วยความเสี่ยงที่ต้องมีการบริหารจัดการ
และในขณะที่ทางการกำลังหารือกันเกี่ยวกับการเปิดประเทศ ผู้เชี่ยวชาญก็เตือนว่า รัฐบาลจำเป็นต้องบริหารจัดการความคาดหวังของประชาชน สื่อสารประเด็นความเสี่ยงอย่างชัดเจน และระมัดระวังในการทำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าสถานการณ์นั้นปลอดภัย
“ฉันคิดว่ามีความเสี่ยงที่จะเป็นการเปิดประเทศก่อนกำหนด และทำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าเราสามารถก้าวไปสู่เฟสต่อไปได้อย่างรวดเร็ว แต่เราก็จำเป็นต้องรับฟังเสียงของประชาชน เนื่องจากเวลานี้ เราร้องขอความร่วมมือครั้งใหญ่จากพวกเขา” ดร.ลูซี วิลสัน แพทย์ด้านโรคติดเชื้อและศาสตราจารย์ด้านบริการการแพทย์ฉุกเฉิน จากมหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ บัลติมอร์ กล่าว
การหารือกันเกี่ยวกับการเปิดประเทศอาจทำให้ประชาชนเชื่อว่าสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติอย่างรวดเร็วและง่ายดาย แต่ในความเป็นจริง เจ้าหน้าที่หลายคนเตือนว่า การกลับไปใช้ชีวิตตามปกติจะต้องเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป
“การอภิปรายร่วมกับประชาชนมีประโยชน์ในการสร้างความคาดหวังในการเปิดประเทศให้กับประชาชน และยังสร้างความเข้าใจที่ผิดว่ารัฐสามารถควบคุมโรคได้แล้ว” วิลสันกล่าวกับ CNN พร้อมระบุว่า เป็นเรื่องธรรมดาที่ประชาชนจะคาดหวังและเตรียมตัวสำหรับการผ่อนคลายกฎข้อห้ามต่างๆ หลังจากที่เห็นผลกระทบเชิงบวกจากการเว้นระยะห่างทางสังคม
“อย่างไรก็ตาม ชาวอเมริกันต้องตระหนักว่า วิถีชีวิตของเราอาจจะนำไปสู่การระบาดซ้ำของเชื้อไวรัสที่รุนแรงกว่าเดิม และเราจำเป็นต้องหวนกลับไปใช้มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมอีกครั้ง เพราะฉะนั้น การจัดการความคาดหวังของประชาชนจึงเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันการระบาดของโรค COVID-19 ในอนาคต” วิลสันกล่าว
นอกจากนี้ ผู้ว่าการรัฐหลายคนก็ชี้ชัดว่า แนวทางการเปิดประเทศจำเป็นต้องมีโครงสร้างพื้นฐานที่มีประสิทธิภาพในการตรวจหาเชื้อ แกะรอยโรค และรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา เช่นเดียวกับ ดร.แอนโธนี ฟอซี ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ ที่กล่าวว่า สหรัฐฯ จำเป็นต้องมีโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อถือได้ แต่ตอนนี้ยังไม่มี
อย่างไรก็ตาม การหารือเกี่ยวกับการเปิดประเทศ ก็สร้างความหวังเช่นกัน โดยสตีเฟน วู ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ จากวิทยาลัยแฮมิลตัน กล่าวว่า เขายังไม่เห็นอันตรายจากการพูดคุยกันเรื่องเปิดเมืองในขณะนี้ แม้จะเชื่อว่า หนทางที่ดีที่สุดคือการระมัดระวังและไม่เร่งเปิดเมืองจนเกินไป
“แต่ในขณะที่บางคนรู้สึกว่ายังเร็วเกินไปที่จะเปิดระบบเศรษฐกิจ แต่หลายคนก็รู้สึกว่าเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องถูกพักงาน คนว่างงาน หรือเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กที่ประสบปัญหาจากการปิดประเทศ” วูกล่าว พร้อมเสริมว่า การพูดคุยหารือเกี่ยวกับการค่อยๆ เปิดให้ธุรกิจต่างๆ กลับมาดำเนินการอย่างระมัดระวัง จะสร้างความหวังให้กับประชาชน โดยต้องจัดสมดุลระหว่างการทำให้ประชาชนรู้สึกดี โดยไม่ทำให้พวกเขาเข้าใจผิดว่าสถานการณ์นั้นปลอดภัย ทั้งที่จริงแล้วยังไม่ปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม การพูดคุยเรื่องการเปิดเมืองยังอาจก่อให้เกิดผลดีต่อเศรษฐกิจ แทนที่จะทำให้ประชาชนรู้สึกว่าจะต้องติดอยู่กับบ้านตลอดไป
วูกล่าวว่า “การให้ความหวังอย่างระมัดระวัง” จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภค ประชาชนจะเริ่มวางแผนจับจ่ายใช้สอย หลังจากที่ไม่สามารถทำได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อตลาด
“เพราะฉะนั้น ผมคิดว่าเราจำเป็นต้องคุยเรื่องเปิดประเทศบ้าง โดยไม่ต้องให้สัญญา แต่คิดว่ามันน่าจะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจในแง่ที่ว่า เรายังพอมองเห็นอนาคต” วูกล่าว
นอกจากนี้ วิลสันกล่าวว่า การที่ประชาชนทราบว่าทางการกำลังวางแผนจะให้พวกเขากลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติถือเป็นสิ่งที่ดี และการเปิดให้มีการอภิปรายสาธารณะและทำให้ประชาชนให้ความร่วมมือ จะทำให้ประชาชนรู้สึกว่า รัฐมองเห็นถึงความเสียสละของพวกเขา และกำลังดำเนินการตามแผนที่วางไว้อยู่
อย่างไรก็ตาม ในหลายพื้นที่ของสหรัฐฯ ขณะนี้ ก็มีประชาชนจำนวนมากออกมาประท้วงมาตรการที่จำกัดให้คนอยู่ในบ้าน อีกทั้งในบางเมือง ก็เปิดพื้นที่บางส่วนให้ผู้คนสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ แม้จะไม่ได้เข้าสู่สภาวะปกติ 100%
นายแอนดรูว์ คูโอโม ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก กล่าวเมื่อต้นสัปดาห์นี้ว่า “การเปิดเมืองไม่ใช่การกดสวิตช์ไฟ ที่เมื่อกดแล้วทุกอย่างจะเข้าสู่สภาพปกติทันที เราจำเป็นต้องบริหารจัดการอย่างชาญฉลาด มีแนวทางที่ต่อเนื่อง เพื่อที่จะเปิดระบบใหม่อีกครั้ง หลังจากที่เราปิดระบบ และทำให้ประชาชนกลับไปทำงานได้”
วิลสันกล่าวว่า เจ้าหน้าที่จะต้องมีความชัดเจนว่าจะใช้มาตรฐานใดในการตัดสินใจว่าจะเข้าสู่เฟสต่อไปเมื่อไร และประชาชนจำเป็นต้องเข้าใจขั้นตอนในการเปิดประเทศ รวมทั้งรับทราบเกี่ยวกับ “ความพยายามอันใหญ่หลวง” ในการไปถึงจุดนั้น
“ฉันคิดว่าการสื่อสารที่ชัดเจนเป็นสิ่งจำเป็น และก่อนที่จะมีการเปิดประเทศ ต้องมีมาตรการที่ชัดเจนเสียก่อน” วิลสันกล่าว