ไมเคิล โอเว่น : (ว่าที่) ตำนานเบอร์ 7 คนใหม่แห่งโอลด์ แทรฟฟอร์ด ?
เสื้อหมายเลข 7 ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่ใช่นักเตะคนไหนก็ใส่ได้ กล่าวคือ นอกจาก ฝีเท้าจะต้องเข้าขั้นแล้ว รูปลักษณ์ภายนอกอย่าง รูปร่าง, หน้าตา และความป๊อปปูลาร์ หรือที่เรียกรวม ๆ ว่า ออร่า จะต้อง ได้ ด้วย
เพราะฉะนั้น มันจึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ และจะต้องมีเหตุผลรองรับแน่นอนถึงทำให้ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ตัดสินใจมอบเสื้อตัวนี้ให้นักเตะใหม่อย่าง ไมเคิล โอเวน...
ไมเคิล โอเวน คือตำนานของลิเวอร์พูล แต่ความจริงแล้ว เขาเป็นแฟนบอลเอฟเวอร์ตัน และปัจจุบัน ไมเคิล โอเวน คนเดียวกัน ที่เป็นทั้งแฟนเอฟเวอร์ตัน และตำนานลิเวอร์พูล กำลังจะสร้าง ตำนานหมายเลข 7 กับ แมนฯ ยูไนเต็ด
การลงทุนมีความเสี่ยง แต่การที่ แมนฯ ยูไนเต็ด คว้าตัว ไมเคิล โอเวน มาร่วมทีม แทบจะไม่มีความเสี่ยง พวกเขาได้ โอเวน แบบฟรี ๆ โดยไม่ต้องควักกระเป๋าสักเพนนี และค่าเหนื่อยก็ถูกแสนถูก แม้ตัวเลขจะไม่แน่นอน แต่เต็มที่ก็ไม่เกิน 50,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์
แถมยังมีออพชั่น จ่ายเท่าที่ลง หรือ จ่ายเท่าที่ยิง อีกต่างหาก ยิ่งทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด มีแต่ได้กับได้ลูกเดียว ถ้าหาก โอเวน กลับมาคืนฟอร์มเก่ง ยิงระเบิดเถิดเทิงเหมือนเมื่อก่อน ทีมผีแดงก็ได้รับประโยชน์ไปเต็มดอก แต่ถ้าหากเขาเกิดเรียกฟอร์มไม่ได้ หรือกลับไปเจ็บซ้ำ ๆ ซาก ๆ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ไม่ได้เสียหายอะไรอยู่แล้ว
นี่จึงเป็นอีกตัวอย่างที่พิสูจน์ให้เห็นถึงสายตาแหลมคมชนิดเหยี่ยวชิดซ้าย ของ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และตอบคำถามทั้งหมดว่า ทำไม เฟอร์กี ถึงยืนยงคงกระพันมาถึงปัจจุบัน
ที่สำคัญ การเสี่ยง ของ เฟอร์กี ยังดูเหมือนว่า คุ้มค่า เอาเสียด้วย เพราะเพียงแค่ลงสนามให้ แมนฯ ยูไนเต็ด 2 นัดแรก โอเวน ก็ตอบแทนความไว้ใจของท่านเซอร์ ด้วยการซัดประตูได้ ในทั้ง 2 เกม แม้ว่าจะเป็นแค่เกมอุ่นเครื่องกับทีมที่รองบ่อนระดับ คนละทีน ก็ตาม
พูดอย่างยุติธรรม วันเวลา 4 ปีของ โอเวน กับ นิวคาสเซิล เรื่องที่น่าผิดหวังอย่างเดียวคือ อาการบาดเจ็บ ไม่ใช่ฟอร์มการเล่น เพราะเมื่อสลัดเดี้ยงลงสนามได้เมื่อไหร่ โอเวน ก็ยังผลิตสกอร์ได้อย่างต่อเนื่อง
โอเวน เก่งแต่เด็ก และใช้ร่างกายหักโหมมาตั้งแต่อายุน้อย ทำให้ไม่แปลกที่เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายจะเรียกร้องเอาคืนจากเจ้าตัว จนต้องเจ็บหนักหลายครั้ง และไม่หนักอีกไม่น้อยครั้ง
นี่อาจจะเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้ทีมงานนายหน้าของ โอเวน ต้องทำ เรซูเม่ หรือข้อมูลจำเพาะส่วนบุคคล ที่รวมทั้งเกียรติประวัติ, ผลงาน และความสามารถของ โอเวน ความหนาถึง 32 หน้า เร่เสนอแก่สโมสรต่าง ๆ เพื่อให้ (ช่วย) คว้า โอเวน ไปร่วมทีม
ตอนนั้นถือเป็นช่วงชีวิตที่ตกต่ำที่สุดของโอเวน อย่างแท้จริง เพราะไม่น่าเชื่อว่าแม้แต่ทีม อย่าง ฮัลล์ ซิตี, สโตค ซิตี หรือ เอฟเวอร์ตัน และ แอสตัน วิลลา ยังปฏิเสธเขา
แต่ก็อย่างที่บอกว่า สาเหตุที่ทำให้ทุกทีมไม่กล้าเสี่ยง เป็นเพราะประวัติอาการบาดเจ็บที่ไม่น่าไว้วางใจเพียงเรื่องเดียว ไม่ได้เกี่ยวกับความสามารถแม้แต่น้อย
แมนฯ ยูไนเต็ด จึงไม่ลังเลที่จะเดิมพันกับ โอเวน
และแม้ว่าดูผิวเผินแล้วจะเหมือนกับ เฟอร์กี ไม่ได้หวังอะไรมากมายกับการเสี่ยงครั้งนี้ แต่เอาเข้าจริง ๆ เป็นไปไม่ได้หรอกที่กุนซืออย่างเขาจะไม่คาดหวัง และการมอบเบอร์ 7 ให้ โอเวน ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า ท่านเซอร์ จริงจัง และหวังผลกับ โอเวน มากแค่ไหน
เฟอร์กี รู้ดีว่า โอเวน กำลังกระหาย (พูดให้ถูกต้องบอกว่า กระสัน ที่จะได้โอกาสพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งเป็นอย่างมาก และมันอาจจะมาก พอ ๆ กัน หรือมากกว่า ตอนที่ เซนต์ไมเคิล เริ่มต้นเล่นฟุตบอลใหม่ ๆ กับ ลิเวอร์พูล ด้วยซ้ำ
โอเวน ถูกปรามาสอย่างหนักว่า หมดน้ำยาแล้ว แต่คนที่เคยยิ่งใหญ่ถึงขนาดได้รับรางวัล นักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของยุโรป มาแล้วอย่างเขา เป็นไปไม่ได้ที่จะเชื่อว่าตัวเองเป็นเช่นนั้น และสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดก็เป็นเพียงแค่ โอกาส ที่จะพิสูจน์ตัวเอง และตอกหน้าคนที่คิดแบบนั้นว่า คุณคิดผิด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งปีหน้าจะมีศึกฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ที่แอฟริกาใต้ และในวัยย่าง 30 ปี นี่จึงอาจจะเป็น รถด่วนขบวนสุดท้าย ของ โอเวน ที่จะได้สัมผัสเกียรติยศระดับนานาชาติ
ดังนั้น มันจึงไม่ผิดนัก ถ้าหากจะบอกว่า สำหรับนักฟุตบอลชื่อ ไมเคิล โอเวน ฤดูกาล 2009-2010 ที่จะถึงนี้ อาจจะเป็นฤดูกาลที่สำคัญที่สุดในชีวิต
ถ้าหากกลับมาได้ โลกทั้งใบจะกลับมาอยู่แทบเท้าเขาอีกครั้ง แต่ถ้าหากไม่ได้ โอเวน ก็คงจะต้องยอมรับสภาพ และแขวนสตั๊ดเลิกเล่นไปอย่างเหงา ๆ
อีกอย่างที่ไม่ควรมองข้ามก็คือ อย่าลืมว่า 4 ปีกับ นิวคาสเซิล โอเวน ลงเล่นไปเพียงแค่ 76 เกม ซึ่งถือว่าน้อยมาก และมากกว่าที่นักเตะทั่วไปสมัยนี้ ลงเล่นเพียงฤดูกาลเดียวไม่เท่าไหร่
ดังนั้น อย่างน้อยที่สุด ร่างกายของ โอเวน ก็น่าจะฟื้นตัวขึ้นไม่มากก็น้อย และคงไม่ ช้ำ จนถึงกับหมดสภาพนักศึกษา อีกทั้งมือหมอระดับ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็น่าจะช่วยประคอง โอเวน ให้รักษาความฟิตได้ตลอดทั้งฤดูกาลได้
สรุปว่า ถ้าหากไม่เคราะห์ร้ายเกินไปจนได้รับบาดเจ็บหนัก รวมกับฝีมือการดูแลระดับอ๋องของ เฟอร์กูสัน ผสานกับความสามารถที่ไม่มีใครกล้าปฏิเสธที่มีอยู่แล้ว โอเวน มีโอกาสแน่นอนที่จะกลับมายืนในจุดที่เขาควรจะได้อยู่อีกครั้ง ซึ่งถ้าเกิดเขาทำได้จริง แฟนบอลอาจจะลืมเจ้าของเบอร์ 7 คนเก่าอย่าง คริสเตียโน โรนัลโด ได้เร็วกว่าที่คิด
และจะถือเป็นต้นกำเนิดตำนานเบอร์ 7 บทใหม่แห่งโอลด์ แทรฟฟอร์ดอย่างแท้จริง.
ผีแดง กับ ตำนานหมายเลข 7
จอร์จ เบสต์ (1963-1974)
ไม่ผิดนัก ถ้าจะบอกว่า ซูเปอร์สตาร์หมายเลข 7 คนแรก ของ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็คือ จอร์จ เบสต์ เขาพาทีมคว้าแชมป์ลีก 1 ครั้ง และยูโรเปี้ยน คัพ 1 ครั้ง ก่อนย้ายออกจากทีมในวัยแค่ 27 ปี ใครจินตนา การไม่ออกว่า เบสต์ เก่งขนาดไหน คิดเอาเองแล้วกันว่า มีวลีคลาสสิกในวงการฟุตบอลวลีหนึ่งบอกเอาไว้ว่า มาราโดนา ก็ดี, เปเล่ อาจจะดีกว่า แต่ จอร์จ ดีที่สุด (เบสต์)
ไบรอัน ร็อบสัน (1981-1994)
ร็อบโบ้ อาจจะถือเป็นกัปตันทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ แมนฯ ยูไนเต็ด เขาอยู่กับทีมถึง 13 ปี ลงเล่นไปเกือบ 500 นัด ยิงไป 99 ประตู และคว้าแชมป์อีกนับไม่ถ้วน ร็อบสัน ยังเป็นเจ้าของสถิตินักเตะค่าตัวสูงสุดของอังกฤษตอนย้ายจาก เวสต์บรอมวิช อัลเบียน มาอยู่กับ ผีแดง เมื่อปี ค.ศ. 1981 ด้วยค่าตัว 1.5 ล้านปอนด์ด้วย
เอริค คันโตนา (1992-1997)
ยิ่งใหญ่แค่ไหนไม่รู้ แต่จนถึงทุกวันนี้ แฟนบอล แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ยังเรียก ก็องโต ว่า เอริค เดอะ คิง และแฟน ๆ เทิดทูนเขาแค่ไหน ก็คิดเอาเองว่า ขนาดเขากระโดด กังฟูคิก ใส่แฟนบอลปากเปราะของ คริส ตัล พาเลซ แฟน ๆ ยังไม่ว่าเขาสักคำ ก่อนการมาของ คันโตนา แมนฯ ยูไนเต็ด กำลังทำผลงานได้ไม่ดีนัก แต่เขาเข้ามาเปลี่ยนแปลงเรื่องราวใหม่ทั้งหมด เพราะนอกจากจะยิงได้แล้ว คันโตนา ยังมีความสามารถพิเศษในการเปิดบอลถวายพานให้เพื่อนทำประตู เขาเลิกแบบช็อกแฟนบอล เมื่อปี ค.ศ. 1997 หลังพาทีมพลาดแชมป์แค่ครั้งเดียวในช่วง 5 ปี
เดวิด เบ็คแคม (1993-2003)
ตอนที่ขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ครั้งแรก เบคแคม ใส่เบอร์ 24 ก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นเบอร์ 10 และเมื่อ คันโตนา เลิกไป เมื่อปี ค.ศ. 1997 เฟอร์กูสัน เลือกให้ เบคแคม ใส่เบอร์ 7 หนุ่มเบคส์ มีจุดเด่นมากจนกลายเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวคือการเปิดบอล แต่ฟรีคิกของเขาคือสิ่งที่ยังไม่มีใครทำได้ดีเท่าจนถึงทุกวันนี้ เขาลงเล่นให้ทีม 265 นัด ยิงไป 62 ประตู คว้าแชมป์พรีเมียร์ชิพ 6 ครั้ง และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 1 ครั้ง แต่ความเป็นซูเปอร์สตาร์ และ ภรรยา ทำให้เขามีปัญหากับ เฟอร์กูสัน และย้ายไปอยู่กับ รีล มาดริด
คริสเตียโน่ โรนัลโด้ (2003-2009)
ครั้งแรกที่ย้ายมาร่วมทีม โรนัลโด อยากใส่เบอร์ 28 แต่เป็น เฟอร์กี ที่มอบเบอร์ 7 ให้ ตอนนั้น ท่านเซอร์คิดอะไร ไม่มีใครรู้ แต่ในที่สุดทุกคนก็ต้องทึ่งกับความสามารถ และความสำเร็จของ เจ้าโด้ เขาพาทีมคว้าแชมป์ลีก 3 ปีรวด ในปี ค.ศ. 2007, 2008, 2009 และแชมเปี้ยนส์ ลีก ปี ค.ศ. 2008 ก่อนที่จะย้ายไปล่าฝันกับ รีล มาดริด ในฐานะนักเตะค่าตัวแพงที่สุดเท่าที่โลกนี้เคยมี แฟนแมนฯ ยูไนเต็ด อาจจะไม่ปลื้มกับเบอร์ 7 คนนี้นัก แต่ไม่มีใครกล้าปฏิเสธแน่ว่า นี่คือตำนานอีกบทหนึ่งในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด.