"พันธ์ยศ" เคลียร์ใจ "อัจฉริยะ" จับมือเปิดโปงคดีหน้ากากอนามัย ทุจริตระดับชาติ
นายพันธ์ยศ อัครอมรพงศ์ ประธานสถาบันพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการไทย-จีน กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาหลังจากที่มีข่าวคราวของตนไปเกี่ยวข้องกับหน้ากากอนามัยนั้น สังคมให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากในเรื่องนี้ตนไม่ได้เป็นเพียงแต่ถูกกล่าวหาว่าเป็นศูนย์กลางของเหล่ามิจฉาชีพและกระบวนการกักตุนสินค้าเพียงเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องที่หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าตน เข้าไปพัวพันกับทุจริตเชิงนโยบายในเรื่อง สินค้าควบคุม ตามที่กระทรวงพาณิชย์ได้ออกกฎหมายใหม่มาเมื่อวันที่ 4 ก.พ. 2563 ว่าให้หน้ากากอนามัยและเจลแอลกอฮอล์เป็นสินค้าควบคุม
อีกทั้งผลพวงของการออกกฎหมายฉบับนี้ทำให้ นักธุรกิจหลายๆ คนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ตกเป็นผู้ต้องหาและถูกสังคมประณามว่า เป็นคนไม่ดี เพราะเป็นผู้กักตุนสินค้าในช่วงที่ประเทศไทยกำลังเกิดวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว แม้ว่าประเทศไทยได้ทราบข่าวการแพร่ระบาดของไวรัสชนิดนี้มาตั้งแต่เดือน ม.ค. 2563 ในระหว่างนั้นจนถึงวันที่ 4 ก.พ. 2563 ซึ่งเป็นวันที่มีการออกกฎหมายมาบังคับใช้ในเรื่องของหน้ากากอนามัย และเจลแอลกอฮอล์ ในขณะนั้นหน้ากากอนามัยจะมีราคาที่สูงขึ้นจากเดิมหลายเท่าตัว และเริ่มที่จะหายาก บวกกับราคาของวัตถุดิบในการผลิตหน้ากากอนามัยก็มีราคาที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องหลายเท่าตัว
แต่ความตื่นตัวในการใช้หน้ากากอนามัยของประชาชนภายในประเทศ ยังไม่ได้มีการใช้หน้ากากอนามัยกันอย่างแพร่หลาย จะมีก็เพียงแต่การใช้หน้ากากอนามัยในทางการแพทย์ ตามโรงพยาบาลและสถานพยาบาลต่างๆ เท่านั้น
นายพันธ์ยศ กล่าวว่า ในฐานะที่ตนมีโอกาสคลุกคลีกับเรื่องนี้มาโดยตลอด มีความเห็นว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่ หน้ากากอนามัยจะขาดแคลน และไม่เพียงพอต่อการใช้งานของประชาชนในประเทศไทย รวมทั้งวันที่มีประกาศของกระทรวงพาณิชย์ออกมา เรื่องให้หน้ากากอนามัยและเจลแอลกอฮอล์เป็นสินค้าควบคุม เท่าที่จำได้ในวัน นั้นเรายังไม่เห็นคนไทยใส่หน้ากากอนามัยเดินอยู่ตามถนนหรือแหล่งชุมชนต่างๆ เลย นั่นหมายความว่าการกล่าวอ้างว่าประเทศไทยขาดแคลนหน้ากากอนามัยและมีไม่เพียงพอต่อการใช้งาน ถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดปกติและมีข้อสงสัยเกิดขึ้นอย่างมากมาย
โดยเฉพาะในเรื่องของราคาหน้ากากอนามัย ที่กระทรวงพาณิชย์ให้จำหน่ายที่ราคา 2.50 บาทต่อชิ้น ที่ประกาศออกมาซึ่งไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงในตลาดเลย ทำให้ตนและทีมงานคิดว่าเรื่องนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องราวของการทุจริตเชิงนโยบายระดับชาติก็เป็นได้ เพราะตอนนั้น ตนเองยังมีความเชื่อมั่นในการบริหารงานของรัฐบาลในเรื่องนี้ จึงมีความมั่นใจเป็นอย่างมากกว่าหน้ากากอนามัยในประเทศไทยที่มีไว้ให้สำหรับคนไทยใช้นั้นจะไม่มีทางขาดแคลน เพราะเชื่อมั่นในคำพูดของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ได้เคยออกมาให้สัมภาษณ์ว่าเรามีหน้ากากอนามัย ถึง 200 ล้านชิ้น เตรียมพร้อมสำหรับการใช้งานภายในประเทศ ซึ่งเพียงพอต่อการใช้งานอย่างแน่นอน
นายพันธ์ยศ กล่าวต่ออีกว่า หน้ากากอนามัยถือได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญ ในเวลานี้ที่จะทำให้ประชาชนคนไทยปลอดภัยจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ตนทราบดีว่าเรื่องนี้เป็นหน้าที่ของ เราทุกคนและทุกภาคส่วน ที่จะต้องช่วยกัน ดูแลและรักษาระยะห่างอย่างสม่ำเสมอ รวมไปถึงการป้องกันตนเองให้ปลอดภัยจากการติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ด้วย แต่เรื่องนี้ก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องมีการวางแผนการทำงานที่ดีและรัดกุม รวมทั้งระมัดระวังไม่ให้เกิดการทุจริตของนักการเมืองและข้าราชการที่เกี่ยวข้อง โดยใช้ช่องทางของกฎหมายที่ออกมาใหม่ หรือทราบล่วงหน้าว่าจะมีกฎหมายฉบับนี้ออกมา เพื่อหาผลประโยชน์ ให้กับตัวเองและพวกพ้อง
เรื่องราวและเหตุการณ์ที่ตนได้เจอกับตัวเองทำให้ตนตกเป็นจำเลยสังคม ถูกรังเกียจ ทั้งที่ตนไม่ได้กระทำ และกำลังจะตกเป็น เครื่องมือหรือเป็นแพะ ให้รับความผิดทั้งหมดที่เกิดขึ้นในเรื่องนี้ ทั้งในทางสังคมและทางกฎหมาย ว่าเป็นหัวหน้าขบวนการแก๊งมิจฉาชีพหลอกลวงประชาชนและการกักตุนสินค้า หน้ากากอนามัย ทั้งที่ในความเป็นจริงตนเป็นเพียงแค่ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทนหรือโบรกเกอร์ รวมไปถึงเป็นผู้ตรวจสอบคุณภาพของ เพื่อส่งออกไปบริจาค ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน ก่อนหน้านี้เท่านั้น
ตนจึงมีความจำเป็นที่จะต้องลุกขึ้นมาต่อสู้และค้นหาความจริงในเรื่องนี้ ซึ่งเป็นข้อที่ตนสงสัยมาตั้งแต่วันที่มีการประกาศใช้กฎหมาย สินค้าควบคุมเมื่อวันที่ 4 ก.พ. 2563 อยู่แล้ว ทำให้ตนตัดสินใจที่จะติดต่อกับคุณอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เพื่อสอบถามข้อมูลดังกล่าว
นายพันธ์ยศ กล่าวว่า ตนเห็นว่านายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์กำลังทำหน้าที่ในการติดตามตรวจสอบ เรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับหน้ากากอนามัยมาตั้งแต่ต้น แม้ว่าในที่ผ่านมาอาจจะมีบางเรื่องราวที่มีความซับซ้อน ทำให้การผูกเรื่องอาจจะยังมีข้อบกพร่องอยู่บ้างเเละบางส่วนพาดพิงมายังตนในเชิงลบ เเต่ได้เมื่อคุยกันเเล้วก็เข้าใจกัน ในช่วงหลังตนคิดว่านายอัจฉริยะกำลังเดินมาถูกทางแล้ว และกำลังจะได้ข้อสรุปในเร็ววันนี้ จึงได้ขอเข้ามามีส่วนร่วมในการให้ข้อมูลที่ตนทราบเพิ่มเติม เเละบางส่วนมอบให้เจ้าหน้าที่รัฐไปเเล้วเพื่อเเกะรอยเเก๊งหน้ากากผีที่ตนมีข้อมูล
"สิ่งที่ผมได้มอบให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องไปเเกะรอยเรื่องนี้ต่อ เพราะคิดว่าข้อมูลดังกล่าวจะทำให้เรื่องราวต่างๆ มีความชัดเจนขึ้นอย่างแน่นอนเเละตนยังทำหน้าที่เเกะรอยเเก๊งหน้ากากผี ซึ่งเป็นแก๊งมิจฉาชีพที่ไปหลอกลวงและสร้างความเดือดร้อน ให้กับประชาชนในยามที่เกิดวิกฤตของโรคระบาดโควิด-19 ต่อไป เพื่อกระชากตัวการใหญ่ออกมาให้ได้เเละลบข้อกังขาของตน ตามที่ สื่อต่างๆ ได้นำเสนอและทำให้หลายคนเข้าใจเเบบนั้น" นายพันธ์ยศกล่าว