สถานทูตจีนโต้ งานวิจัยเขื่อนทำแม่น้ำโขงแล้ง เป็นเรื่องเกินจริง มุ่งโจมตีทางการเมือง
วันนี้(24 เม.ย.) สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ถึงกรณีบทความวิจัยการพัฒนาและใช้ประโยชน์ทรัพยากรน้ำที่ได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ ของ Eyes on Earth ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาทางด้านทรัพยากรน้ำ ที่ระบุว่า เขื่อนในประเทศจีนมีปริมาณน้ำมากกว่าปริมาณเฉลี่ยปกติในปีที่ผ่านมา โดยใช้ข้อมูลจากดาวเทียม
แถลงการณ์ของสถานทูตจีนระบุว่าบทความดังกล่าวจงใจมองข้ามข้อเท็จจริง อ้างสถิติบางส่วนเกินความเป็นจริง และไม่มีหลักฐานเชิงวิทยาศาสตร์เพียงพอ ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนว่า บทความดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ทางการเมือง พุ่งเป้าที่จีนโดยประสงค์ร้าย
ทั้งนี้ทางสถานทูตจึงรวบรวมความเห็นบางส่วนจากผู้เชี่ยวชาญในเรื่องการพัฒนาและใช้ประโยชน์จากแม่น้ำโขง โดยเป็นเชิงการตอบคำถาม 7 ข้อดังนี้
ความเห็นข้อที่ 1 “การสร้างเขื่อนจะทำให้น้ำเยอะขึ้นในหน้าฝนและน้อยลงในหน้าแล้ง เป็นต้นเหตุที่แม่น้ำโขงตอนล่างเกิดน้ำท่วมและภัยแล้งบ่อยครั้ง”
ผู้เชี่ยวชาญเห็นว่า: คนสมัยใหม่มักจะไปออมทรัพย์ที่ธนาคารเมื่อมีเงินเหลือ เผื่อเกิดกรณีฉุกเฉินในวันข้างหน้า โครงการชลประทานก็เป็นธนาคารของแม่น้ำ หน้าฝนเก็บน้ำ หน้าแล้งปล่อยน้ำ เป็นหลักประกันที่ขาดมิได้ในการรับมือกับน้ำท่วมหรือภัยแล้ง ประเทศยุโรป เช่น สวีเดน นอร์เวย์ สวิตเซอร์แลนด์ มีโครงการชลประทานในแม่น้ำมากกว่า 90% สหรัฐฯ มีอ่างเก็บน้ำ 84,000 แห่ง แม่น้ำ 96% ได้สร้างเขื่อน โดยแม่น้ำมิสซิสซิปปีโดดเด่นที่สุด หนังสือ “ฟ้าลิขิต” ซึ่งพิมพ์โดยสำนักงานแม่น้ำมิสซิสซิปปีระบุว่า “หากแม่น้ำมิสซิสซิปปีไม่มีโครงการชลประทานที่รัฐบาลสหรัฐฯ ลงทุน 14,000 ล้านเหรียญสร้าง นึกภาพไม่ออกว่าจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อเกิดภัยพิบัติ จะกลายเป็นประเทศโลกที่สาม ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีน้ำประปา ไม่มีระบบบำบัดน้ำเสีย ไม่มีการขนส่งและไม่มีฟาร์ม ชายฝั่งจะถูกน้ำท่วมและกัดเซาะ เป็นภาพที่พังพินาศอย่างยับเยิน”
สหรัฐฯ ได้ลงทุนสร้างเขื่อนในต้นน้ำที่แคนาดา เพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมในแม่น้ำโคลัมเบียตอนล่าง สำหรับแม่น้ำโขง 80% ของน้ำฝนตกลงมาในหน้าฝน แต่การพัฒนาโครงการชลประทานยังน้อยกว่าสหรัฐฯ และยุโรปมาก ซึ่งเป็นปัจจัยขัดขวางการพัฒนาเศรษฐกิจสังคม ประเทศในภูมิภาคได้สร้างโครงการชลประทานหลายแห่งในแม่น้ำสายหลักและสายย่อยของแม่น้ำโขง ซึ่งรวมเขื่อน 2 แห่งในสายหลักและเขื่อน 40 กว่าแห่งในสายย่อย เพื่อปรับระดับน้ำตามฤดู หลังจากเกิดภัยแล้งปีนี้ รัฐบาลไทยได้อนุมัติงบประมาณพิเศษในการสร้างโครงการชลประทาน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้ง โครงการชลประทานจะทำให้น้ำในแม่น้ำตอนล่างเยอะขึ้นในหน้าแล้งและน้อยลงในหน้าฝน โดยผ่านการปรับระดับน้ำตามหลักวิทยาศาสตร์
ความเห็นข้อที่ 2 “เขื่อนในแม่น้ำล้านช้างทำให้ตอนล่างยิ่งแล้งขึ้น ควรรื้อถอนออกไป
ผู้เชี่ยวชาญเห็นว่า: ตามสถิติการสังเกตการณ์ ในสภาพธรรมชาติก่อนสร้างเขื่อน ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนเมษายน ปริมาณน้ำที่ไหลลงจากแม่น้ำล้านช้างอยู่ที่ประมาณ 600 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เดือนมกราคมถึงเดือนเมษายนของปีนี้ เมื่อคำนึงถึงได้เกิดสถานการณ์ภัยแล้งรุนแรงในตอนล่าง จีนได้บริหารจัดการพิเศษ ให้ปริมาณน้ำที่ไหลลงจากแม่น้ำล้านช้างมากกว่า 2 เท่าตัวของน้ำไหลเข้า อยู่ในระดับที่มากกว่า 1,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
ข้อมูลจากคณะกรรมการแม่น้ำโขงระบุว่า ที่สถานีอุทกวิทยาเชียงแสน ซึ่งเป็นสถานีอยู่ใกล้สุดกับจีน ระดับน้ำในเดือนมกราคมถึงเมษายนปีนี้ โดยเฉลี่ยแล้วสูงกว่า 0.2 เมตรเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในประวัติศาสตร์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโครงการชลประทานในแม่น้ำล้านช้างมีบทบาทในการเพิ่มปริมาณน้ำในหน้าแล้ง ปริมาณน้ำที่ไหลลงมาไม่ได้ลดลงแต่เพิ่มขึ้น รายงานล่าสุดจากคณะกรรมการแม่น้ำโขงระบุว่า หน้าแล้งปี 2019 และ ปี 2020 ปริมาณน้ำมาจากแม่น้ำล้านช้างมากกว่าช่วงหน้าแล้งปีก่อน ๆ
เมื่อเศรษฐกิจโลกมีความผันผวน ประเทศต่างๆ ก็จะหารือกันอย่างกระตือรือร้นในการตั้งธนาคารใหม่หรือประสานการทำงานระหว่างธนาคาร น้อยคนคิดว่าควรแก้ปัญหาโดยรื้อถอนธนาคาร เมื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทวีความรุนแรงมากขึ้นในลุ่มแม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขง ภัยแล้งและน้ำท่วมเกิดยิ่งบ่อยขึ้น ทำไมจะไปเชื่อคำยั่วยุของคนที่มีเจตนาซ่อนเร้น มองข้ามประโยชน์เชิงบวกของโครงการชลประทาน และไปตั้งคำถามว่าทำไมต้องมีโครงการชลประทาน
ความเห็นข้อที่ 3 “สถานการณ์ภัยแล้งในปัจจุบันเกิดจากการกักเก็บน้ำของเขื่อนในแม่น้ำล้านช้าง”
ผู้เชี่ยวชาญเห็นว่า: เรามาดูปริมาณน้ำฝนในลุ่มแม่น้ำโขง เมื่อปี 2019 ปริมาณน้ำฝนในลุ่มแม่น้ำล้านช้างน้อยกว่า 700 มม. ลดลงประมาณ 30% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยหลายปีที่ผ่านมา รายงานจากคณะกรรมการแม่น้ำโขงระบุว่า ปริมาณน้ำแม่น้ำล้านช้างในหน้าฝนเป็นแค่ประมาณ 11% ของปริมาณน้ำในลุ่มแม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขงในช่วงเวลาเดียวกัน ควรมองเห็นว่า ปริมาณน้ำฝนในสายย่อยซึ่งเป็น 89% ของลุ่มแม่น้ำทั้งหมดก็ลดลง
ข้อมูลจากคณะกรรมการแม่น้ำโขงระบุว่า ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2019 เป็นต้นมา ลุ่มแม่น้ำโขงพื้นที่ส่วนใหญ่เกิดความแห้งแล้งและฝนน้อยอย่างต่อเนื่อง ปริมาณน้ำฝนระหว่างเดือนมิถุนายนถึงตุลาคมในสถานีอุทกวิทยาเชียงแสน หลวงประบางและหนองคาย ซึ่งอยู่ในสายหลักของแม่น้ำโขง ลดลงประมาณ 40% 50% และ 20% ตามลำดับ นอกจากนี้ ปริมาณน้ำฝนในสายย่อยของแม่น้ำโขงก็ลดลง เช่นลุ่มน้ำอูนซึ่งเป็นสาขาที่สำคัญของแม่น้ำโขง ในปี 2019 ปริมาณน้ำฝนน้อยลง 37% เมื่อเทียบกับปี 2018
ข้อมูลจากสำนักงานอุตุนิยมวิทยาแห่งประเทศไทยระบุว่า ปริมาณน้ำฝนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยเมื่อเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน 2019 ลดลง 71% และ 82% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เห็นได้ชัดว่า สาเหตุหลักของความแห้งแล้งในแม่น้ำโขงคือ ปริมาณน้ำฝนน้อยในพื้นที่ส่วนใหญ่ของแม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขง รายงานจากคณะกรรมการแม่น้ำโขงระบุว่า ระดับน้ำที่เวียงจันทน์แม่น้ำโขงตอนกลางในปี 2019 และปี 2020 ต่ำสุดในประวัติศาสตร์ สาเหตุหลักคือน้ำฝนลดลง
ความเห็นข้อที่ 4 “เขื่อนในแม่น้ำล้านช้างควรปล่อยน้ำมากขึ้น เพื่อแก้ปัญหาภัยแล้งภาคอีสานของไทย”
ผู้เชี่ยวชาญเห็นว่า: เขื่อนในแม่น้ำล้านช้างสามารถบรรเทาความแห้งแล้งในภาคอีสานได้บ้าง แต่ก็มีจำกัด ซึ่งมีสาเหตุ 3 ประการ ประการแรก ปริมาณน้ำในแม่น้ำล้านช้างมีจำกัด ตามรายงานจากคณะกรรมการแม่น้ำโขง น้ำที่มากจากตอนบนตั้งแต่สถานนีอุทกวิทยาเชียงแสนขั้นไป(รวมทั้งแม่น้ำล้านช้างและแม่น้ำโขงช่วงอยู่ในเมียนมาและลาว) คิดเป็น 16% เท่านั้น ในเมื่อที่น้ำจากสายย่อยไหลเข้าแม่น้ำโขงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เขื่อนจีนจะมีบทบาทน้อยลงในการปรับระดับน้ำตั้งแต่เวียงจันทน์ลงไป
ประการที่สอง ภาคอีสานอยู่ห่างไกลจากจีน จังหวัดเลยซึ่งอยู่ใกล้ที่สุดกับจีนห่างจากโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำจิ่งหงประมาณ 900 กิโลเมตร เท่ากับขับรถจากเชียงใหม่ไปกรุงเทพฯ แล้วต่อไปถึงพัทยา แม่น้ำล้านช้างไหลออกจากจีนแล้วต้องใช้เดินทางไกล 900 กิโลเมตรจึงไปถึงภาคอีสานของไทยได้ ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในการเดินทางระยะทาง 900 กิโลเมตร
ประการที่สาม เพิ่มน้ำจากแม่น้ำล้านช้างมีผลเฉพาะต่อสายหลักของแม่น้ำโขง มีผลน้อยมากต่อแม่น้ำส่วนใหญ่ในภาคอีสาน แม่น้ำโขงเป็นเส้นแบ่งเขตแดนไทย-ลาว และเป็นปลายน้ำของแม่น้ำเกือบทั้งหมดในภาคอีสาน แก้ปัญหาความแห้งแล้งในสายย่อยต่างๆ ของแม่น้ำโขง ต้องให้โครงการชลประทานในพื้นที่เกี่ยวข้องร่วมแสดงบทบาท
ปัจจุบัน ประเทศลาว ไทย กัมพูชาและเวียดนามต่างได้สร้างโครงการชลประทานในสายหลักและสายย่อยของแม่น้ำโขง ปริมาณน้ำที่กักเก็บมากกว่าเขื่อนที่สร้างในแม่น้ำล้านช้าง ทุกประเทศได้ตระหนักถึงความสำคัญของโครงการชลประทานในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เมื่อลุ่มแม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขงเกิดภัยแล้งหรือน้ำท่วม ประเทศใดประเทศเดียวไม่สามารถแก้ปัญหาทั้งระบบ
รายงานจากคณะกรรมการแม่น้ำโขงระบุว่า เมื่อเผชิญกับภัยแล้งครั้งนี้ เขื่อนของลาวและประเทศอื่นที่อยู่ในสายย่อยแม่น้ำโขงก็ได้มีบทบาทในเชิงบวก ทำให้ระดับน้ำตั้งแต่เวียงจันทน์ลงไปคงไว้ที่ระดับปีก่อนๆ หน้าแล้งปี 2019 และ 2020 ปริมาณน้ำที่ไหลเข้าแม่น้ำโขงช่วงที่อยู่ในกัมพูชาในมากกว่าปีก่อน ซึ่งทำให้เห็นได้ว่า เมื่อสายหลักและสายย่อยร่วมมือกัน จึง สามารถแก้ปัณหาภัยแล้งในลุ่มแม่น้ำได้ ฝ่ายจีนเรียกร้องประเทศต่างๆ เร่งดำเนินความร่วมมือ เพื่อให้โครงการชลประทานในสายหลักและสายย่อยแม่น้ำโขงมีการประสานร่วมมือมากขึ้น ร่วมกันรับมือกับความท้าทายที่มาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภูมิภาคนี้
ความเห็นข้อที่ 5 “เขื่อนจีนในแม่น้ำล้านช้างกักเก็บและใช้น้ำเยอะ ทำให้ตอนล่างขาดแคลนน้ำ”
ผู้เชี่ยวชาญเห็นว่า: โครงการชลประทานของจีนในแม่น้ำล้านช้างเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ ซึ่งผลิตกระแสไฟฟ้าโดยอาศัยการไหลผ่านของน้ำ แทบจะไม่สิ้นเปลืองทรัพยากรน้ำ นอกจากการระเหยเพียงเล็กน้อย โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำจะปฏิบัติตามหลักการ “น้ำไหลเข้าเท่าไหร่ ก็จะให้ไหลออกเท่านั้น” โดยแค่ปรับเวลาการปล่อยน้ำ เข้าใจง่ายๆ ก็คือ “เก็บน้ำในหน้าฝนไปปล่อยในหน้าแล้ง” โดยปกติโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำจะไม่สกัดกั้นน้ำจากต้นน้ำในช่วงหน้าแล้ง และจะเพิ่มน้ำไหลลงไปต่างหาก ยกตัวอย่างเช่น ช่วงเวลาเดือนมกราคมถึงเมษายนปีนี้ น้ำที่ไหลลงจากโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำในแม่น้ำล้านช้างมากกว่า 2 เท่าตัวของปริมาณน้ำในสภาพธรรมชาติ อยู่ที่ 1,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที รายงานจากคณะกรรมการแม่น้ำโขงระบุว่า เขื่อนในแม่น้ำล้านช้างช่วยเพิ่มปริมาณน้ำตอนล่างในหน้าแล้ง ช่วงหน้าแล้งปี 2019 และ 2020 น้ำที่มาจากแม่น้ำล้านช้างมากกว่าหน้าแล้งปีก่อนๆ ภัยแล้งเกิดขึ้นต่อเนื่องกันมาจนถึงทุกวันนี้ โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำในแม่น้ำล้านช้างมีบทบาทเชิงบวกในการบรรเทาความแห้งแล้งและส่งเสริมความมั่นคงระบบนิเวศในลำน้ำสายหลักของแม่น้ำโขง
ความเห็นข้อที่ 6 :“รายงานการวิจัยระบุว่าต้นน้ำแม่น้ำล้านช้างชุ่มชื้นกว่าปี 2019 ดังนั้นไม่มีภัยแล้งในมณฑลยูนนาน”
ผู้เชี่ยวชาญเห็นว่า: สิ่งที่ควรมองเห็นก็คือ น้ำในแม่น้ำล้านช้างส่วนใหญ่มาจากมณฑลยูนนาน ไม่ได้มาจากมณฑลชิง ไห่ พื้นที่ชุ่มชื้นที่พูดถึงในรายงานหมายถึงพื้นที่ต้นน้ำของแม่น้ำล้านช้างที่อยู่ในมณฑลชิงไห่ ซึ่งตั้งอยู่ที่ที่ราบสูง ปริมาณน้ำฝนต่อปีน้อยกว่า 500 มม. ไม่ถึง 1/3 ของปริมาณน้ำฝนที่จังหวัดหนองคาย ที่ต้นน้ำแม่น้ำแคบ น้ำน้อย สายย่อยน้อย ปริมาณน้ำฝนเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจะไม่ส่งผลต่อการเพิ่มปริมาณน้ำในสายหลักของแม่น้ำล้านช้าง มณฑลยูนนานและมณฑลชิงไห่ห่างกันไกลแค่ไหน ระยะทางจากคุนหมิงซึ่งเป็นเมืองหลวงของมณฑลยูนนานไปซีหนิงซึ่งเป็นเมืองหลวงของมณฑลชิงไห่มี 1,400 กว่ากิโลเมตร ซึ่งเกือบจะเป็นระยะทางจากกรุงเทพฯ ถึงสิงคโปร์
ถ้าฝนตกในกรุงเทพฯ คงไม่มีใครคิดว่าฝนจะตกในสิงคโปร์ด้วย เช่นเดียวกัน ทำไมชิงไห่มีความชุ่มชื้นมากขึ้น ยูนนานก็ต้องมีความชุ่มชื้นพร้อมกัน ในรายงานฉบับเดียวกัน จะเห็นได้ว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ของมณฑลยูนนานที่แม่น้ำล้านช้างไหลผ่านมีปริมาณน้ำฝนลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งมีสภาพคล้ายๆ ประเทศต่างๆ ที่อยู่ในลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่าง นับถึงวันที่ 15 เดือนเมษายนปีนี้ ประชาชนในมณฑลยูนนานมากกว่า 1.47 ล้านคนขาดแคลนน้ำดื่ม ซึ่งเทียบเท่ากับประชาชนทั้งจังหวัดชลบุรีที่ไม่มีน้ำดื่มที่ปลอดภัย มณฑลยูนนานกำลังเผชิญกับภัยแล้งที่รุนแรงที่สุดในรอบ 10 ปี ได้ทุ่มเทกำลัง 1.13 ล้านคนและรถ 1.3 แสนคันเพื่อต่อสู้ภัยแล้ง ในสถานการณ์อย่างนี้ จีนยังคงพยายามอย่างต่อเนื่องเพื่อให้มีการเพิ่มน้ำไหลออกจากเขื่อนและบรรเทาภัยแล้งของแม่น้ำโขงตอนล่าง
ความเห็นข้อที่ 7 “หลังโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำในแม่น้ำล้านช้างสร้างเสร็จ แม่น้ำโขงเกิดภัยแล้งบ่อยมากขึ้น”
ผู้เชี่ยวชาญเห็นว่า: ตามดัชนีความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศในโลก(Global Climate Risk Index)ล่าสุดระบุว่า ประเทศเมียนมาร์ เวียดนาม ไทยและประเทศอื่นที่อยู่ในลุ่มแม่น้ำโขงอยู่ในกลุ่มประเทศ 10 อันดับแรกของโลกที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดความแห้งแล้งเนื่องจากปริมาณน้ำฝนน้อยอย่างผิดปกติ รายงานการวิจัยทางด้านอุตุนิยมวิทยาแสดงให้เห็นว่า เกือบครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา ความแห้งแล้งในภาคอีสานของไทย ในพื้นที่่ส่วนใหญ่ของกัมพูชาและในเมียนมานั้นมีแนวโน้มเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะในบางพื้นที่ของภาคอีสานไทย รายงานจากสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติของไทยแสดงให้เห็นว่า ปริมาณน้ำในแม่น้ำล้านช้าง-แม่โขงเริ่มลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 1960 แต่โครงการชลประทานในแม่น้ำล้านช้างเริ่มสร้างเสร็จในศตวรรษที่ 21 ซึ่งไม่สามารถอธิบายว่าทำไมปริมาณน้ำเริ่มลดลงตั้งแต่ปี 1960 โดยผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ลุ่มแม่น้ำโขงเกิดภัยแล้งบ่อยอย่างเป็นประจำ เป็นข้อสรุปที่มีหลักฐานพิสูจน์ได้ และเป็นความท้าทายที่เราร่วมกันรับมือ
งานวิจัยร่วมของแม่น้ำล้านช้าง-แม่โขง 6 ประเทศระบุว่า ภัยแล้งในประเทศแม่น้ำโขงเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ฝ่ายจีนบริหารจัดการโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำในแม่น้ำล้านช้างอย่างชอบด้วยเหตุผล ทำให้ปริมาณน้ำที่ไหลลงจากแม่น้ำล้านช้างโดยเฉลี่ยแล้วเพิ่มขึ้น 70% ในหน้าแล้งและลดลง 30% ในหน้าฝน เมื่อเทียบกับสภาพธรรมชาติ โครงการชลประทานเป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่ไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สำหรับการตีความที่ไม่มีเหตุผลจากกลุ่มอิทธิพลนอกภูมิภาคต่อการพัฒนาโครงการชลประทานในแม่น้ำล้านช้าง ทุกประเทศในลุ่มแม่น้ำต่างมีการพิจารณาที่เป็นธรรมและชอบด้วยเหตุผล