ชี้เจลล้างมือ เสี่ยงติดไฟลุกพึ่บ!

ชี้เจลล้างมือ เสี่ยงติดไฟลุกพึ่บ!

ชี้เจลล้างมือ เสี่ยงติดไฟลุกพึ่บ!
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

สธ.กระจายใบสมัครให้คลิ นิกเอกชน เข้าร่วมโครงการจ่ายยาต้านไวรัสหวัดใหญ่แล้ว ย้ำประชาชนคนไข้ มีโรครุมทั้งหัวใจ ตับแข็ง ไตวาย มานานนับ 10 ปี สธ.กระจายใบสมัครให้คลินิกเอกชน เข้าร่วมโครงการจ่ายยาต้านไวรัสหวัดใหญ่แล้ว ย้ำประชาชนใช้ยาฟรีห้ามคลินิกคิดเงิน อย.เตือนภัยใช้เจลล้างมือเสี่ยงติดไฟ ต้องทาทิ้งไว้ 30 วินาทีก่อนทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับไฟจึงจะปลอดภัย ขณะที่หญิงตั้งครรภ์ติดเชื้อแล้ว 8 ราย ตาย 3 ราย ยังโคม่า 4 ราย

-"มาร์ค"ถกสธ.ระบบกระจายยา

เมื่อวันที่ 30 ก.ค. ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวง ว่า ที่ประชุมหารือเกี่ยวกับมาตรการแก้ปัญหาไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ใน 2 ส่วน คือ 1.เรื่องระบบการจ่ายยา ซึ่งในชั้นนี้คณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญยังยืนยันว่าเงื่อนไข 8 ข้อในการที่จะให้ยาออกไปตามคลินิกยังจำเป็นต้องคงไว้ แต่ตนต้องการให้ประเมินอยู่ตลอดเวลา เพราะเท่าที่ทราบกรณีที่มีการเสียชีวิตนั้นส่วนใหญ่เป็นเพราะเข้าถึงยาล่าช้า แต่ทางแพทย์ผู้เชี่ยวชาญยังเป็นห่วงเรื่องการดื้อยาหรือความไม่รัดกุมในการจ่ายยา

2.เมื่อมีแนวโน้มที่จะระบาดไปในชนบทมากขึ้น ระบบการทำงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) จะต้องสามารถหยุดยั้งสกัดกั้นการระบาดเข้าไปในหมู่บ้านให้ได้ ซึ่งได้มีการย้ำในจุดนี้ โดยต้องเฝ้าระวังอย่างละเอียด เพราะตอนนี้เรามอบภารกิจให้ อสม. 1 คนต่อ 10 ครอบครัว ต้องดูแลให้ได้ทั่วถึง โดยถ้าใครป่วยหรือมีอาการน่าสงสัย ต้องแนะนำให้ไปพบแพทย์ที่ร.พ. หรือถ้าเจ็บป่วยเล็กน้อยต้องแนะนำให้อยู่ที่บ้าน และต้องช่วยติดตามว่าคนๆ นั้นมีโอกาสที่จะไปติดต่อแพร่เชื้อที่ไหนอย่างไร

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่มีหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อที่ จ.นครราชสีมา แท้งเพราะโรคดังกล่าว นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ยังไม่ได้มีการยืนยันข้อมูลนี้ เมื่อถามว่าขณะนี้จะยังไม่มีมาตรการอะไรออกมาเป็นพิเศษใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ต้องไปเร่งว่าเรื่องการเข้าถึงยาในส่วนภูมิภาค กับการป้องกันระดับชนบทจะทำอย่างไร แต่ในพื้นที่เมืองนั้นเห็นว่าสถานการณ์ยังอยู่ในลักษณะที่ทรงตัว ไม่ได้เป็นขาขึ้นอีกแล้ว อย่างไรก็ตามยังต้องติดตามอยู่ เพราะไม่ได้คิดว่าเป็นไปตามฤดูกาล เนื่องจากเท่าที่ติดตามจากต่างประเทศไม่ได้มีผลกระทบจากฤดูร้อนในต่างประเทศเลย แต่สิ่งที่ต้องติดตามตลอดคือการดื้อยาและการกลายพันธุ์ ซึ่งขณะนี้ยังไม่เกิดขึ้นในไทย

-คาดกระจายยาทั่วปท.-3ส.ค.

นายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า ได้หารือกับตัวแทนจากกทม. สธ. สำนักระบาด และตัวแทนคณะอนุกรรมการ การกระจายยาต้านไวรัสโอเชลทามีเวียร์ ได้ข้อสรุปว่าจะเร่งการกระจายให้คลินิกให้รวดเร็วที่สุด โดยมอบหมายให้สำนักระบาดทำใบสมัครให้กับคลินิกต่างๆ สมัครเข้าร่วมโครงการตั้งแต่วันที่ 31 ก.ค.-2 ส.ค.นี้ และได้มอบหมายให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) เร่งจัดการประชุมอบรมคลินิกที่จะเข้าร่วมโครงการ และเน้นย้ำว่าต้องปฏิบัติตามคู่มือที่คณะอนุกรรมการกำหนดขึ้น 8 ข้ออย่างเคร่งครัด โดยจะให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 2 ส.ค. เพื่อให้สามารถกระจายยาในทุกพื้นที่ได้ทันทีในวันที่ 3 ส.ค.นี้

"การกระจายยาต้านไวรัสสำหรับคลินิกในเขต กทม.จะกระจายผ่านหน่วยงานของกทม. ส่วนคลินิกใกล้บ้านใกล้ใจ จะกระจายผ่านสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ส่วนในพื้นที่ต่างจังหวัดจะกระจายยา ผ่านสสจ. และร.พ.อำเภอ โดยจะกำหนดให้คลินิกละ 5 ชุดการรักษา และจะประสานไปยัง อย.ไม่อนุญาตให้คลินิกเอกชนซื้อยาต้านไวรัสจากบริษัทเอกชนรายอื่น เพื่อให้สามารถควบคุมปริมาณการใช้ยาได้ และห้ามคิดค่ายาต้านไวรัสกับประชาชนที่มาใช้บริการ เนื่องจากรัฐบาลเป็นผู้ลงทุน" นายวิทยากล่าว

นายวิทยากล่าวอีกว่า ตนได้สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) รองรับมาตรการสำรองยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์ ให้ผู้ป่วยเข้าถึงยาอย่างทันท่วงที จึงได้ออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขในการนำหรือสั่งยาเข้ามาในราชอาณาจักร โดยไม่ต้องขอขึ้นทะเบียนตำรับยา (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2552 แล้ว โดยให้การนำหรือสั่งยาต้านไวรัสเข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อสำรองการรักษาในกรณีเกิดการระบาดของโรค ได้รับการยกเว้นไม่ต้องขอขึ้นทะเบียนตำรับยา

-ยันหมอตาย-ไม่ได้ติดเชื้อผู้ป่วย

น.พ.เรวัต วิศรุตเวช อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวถึงกรณีที่แพทย์ที่ จ.เชียงใหม่ เสียชีวิตจากโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ว่า ได้รับรายงานว่าแพทย์คนดังกล่าวอายุ 58 ปี เป็นอาจารย์แพทย์ในโรงเรียนแพทย์ ไม่ได้อยู่ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข และไม่ได้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 จากคนไข้ เพราะไม่ได้ปฏิบัติงานรักษาคนไข้นานแล้ว เนื่องจากแพทย์คนดังกล่าวมีโรคประจำตัวหลายโรค ทำให้สุขภาพไม่ดีมานานนับ 10 ปีแล้ว อาทิ โรคหัวใจล้มเหลว ตับแข็ง เบาหวาน ไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย ซึ่งอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่อาการจะรุนแรงและเสียชีวิตได้

น.พ.เรวัตกล่าวว่า ผู้เสียชีวิตรายนี้มาพบแพทย์ครั้งแรกด้วยอาการท้องร่วงรุนแรง ป่วยมาแล้ว 3 วัน แต่ไม่ได้มาพบด้วยอาการไข้หวัด ภายหลังจึงตรวจพบว่าติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ถือว่าเป็นบุคลากรสาธารณสุขคนแรกของประเทศที่เสียชีวิต

"บุคลากรทางการแพทย์ทุกคนถือเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ต้องตระหนักถึงความปลอดภัย ซึ่งแพทย์ พยาบาลทุกคนต้องรู้จักวิธีการป้องกันตนเองอย่างเต็มที่ รับผิดชอบตนเอง เช่น การใส่หน้ากากอนามัย ใช้เจลล้างมือทุกครั้ง แต่คงจะไม่มีแพทย์ พยาบาลคนใดที่เสียขวัญจากกรณีดังกล่าว อย่างไรก็ตามได้สั่งการให้สถาบันทรวงอกเร่งผลิตเครื่องฆ่าเชื้อโรคด้วยรังสียูวี 2009 ให้ได้วันละ 100 เครื่อง เพื่อกระจายให้โรงพยาบาลในสังกัด สธ.ทุกแห่ง เพื่อช่วยลดเชื้อแบคทีเรียและไวรัสให้ลดลง ส่วนประชาชนก็ไม่ควรตื่นตระหนกว่าขนาดแพทย์ผู้มีความรู้ยังป่วยและเสียชีวิต เพราะแพทย์คนดังกล่าวมีโรคประจำตัวเรื้อรังรุนแรงอยู่แล้ว" น.พ.เรวัตกล่าว

-หญิงตั้งครรภ์ตาย 3 โคม่า 4

น.พ.เรวัตกล่าวว่า สำหรับกรณีเด็ก 2 เดือนที่ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวว่าติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ที่รักษาในสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินีนั้น จากการตรวจสอบผลจากห้องปฏิบัติการยืนยันว่าไม่ได้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่แต่อย่างใด แต่มีอาการไอ หอบ และปอดบวม โดยขณะนี้มีผู้ป่วยเด็กรักษาที่สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติฯ ทั้งสิ้น 12 ราย ในจำนวนนี้มี 1 รายที่มีอาการหนัก ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ เป็นเด็กหญิง อายุ 7 ปี 6 เดือน ป่วยตั้งแต่วันที่ 13 ก.ค. มาหาแพทย์ด้วยอาการปอดบวม แต่ล่าสุดอาการดีขึ้นเป็นลำดับ และจะถอดเครื่องช่วยหายใจในเร็วๆ นี้

น.พ.เรวัตกล่าวว่า กรณีที่ศูนย์ควบคุมโรคแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (CDC) รายงานว่า หญิงตั้งครรภ์มีภาวะเสี่ยงนั้น สำหรับประเทศไทย สธ.ได้จัดให้หญิงตั้งครรภ์เป็นกลุ่มเสี่ยงอยู่แล้ว แต่จะมีมาตรการเชิงรุก คือ หากหญิงตั้งครรภ์มาพบแพทย์ที่ร.พ.จะมีเจ้าหน้าที่เร่งแจกหน้ากากอนามัยให้ทันที และขณะที่อยู่ในร.พ.จะ ต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา เพื่อป้องกันการติดเชื้อ

"ขณะนี้มีผู้ป่วยหญิงตั้งครรภ์ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ รักษาในร.พ.ทั้งสิ้น 8 ราย ในจำนวนนี้เสียชีวิตแล้ว 3 ราย ส่วนอีก 5 รายเป็นผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง 4 ราย อีก 1 รายหายดีแล้ว อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะมีผู้ป่วยกลุ่มนี้จำนวนมากกว่านี้แต่ยังไม่ได้รายงานให้ สธ.ทราบ" น.พ.เรวัตกล่าว

-สั่งร.พ.จัดหอรับรองผู้ป่วย

น.พ.สุพรรณ ศรีธรรมมา โฆษก สธ. กล่าวว่า ขณะนี้มีประชาชนป่วยไข้หวัดเข้ารับการรักษาในร.พ.เป็นจำนวนมาก วันละประมาณ 18,000 คนทั่วประเทศ บุคลากรที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลจึงเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ จึงให้ร.พ.ทุกแห่งจัดสถานที่ตรวจคัดกรองผู้ป่วยไข้หวัดแยกจากผู้ป่วยอื่นๆ การจัดหอรองรับผู้ป่วยต้องสงสัย การเคลื่อนย้ายผู้ป่วย

น.พ.สุพรรณกล่าวว่า บุคลากรในสถานพยาบาลทุกคนถือเป็นกลุ่มเสี่ยง ขอให้ใส่หน้ากากอนามัย และล้างมือด้วยน้ำและสบู่ หรือเจลฆ่าเชื้อแอลกอฮอล์ทั้งก่อนและหลังสัมผัสผู้ป่วย เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ และหากป่วยเป็นโรคทางเดินหายใจ กำลังตั้งครรภ์ หรือมีโรคเรื้อรังประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคไตวาย ภูมิคุ้มกันต่ำ ไม่ควรปฏิบัติงานกับผู้ป่วยสงสัยไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ และให้สถานพยาบาลทุกแห่งจัดอบรมความรู้เรื่องไข้หวัดใหญ่ การดูแลผู้ป่วยระบบทางเดินหายใจ และการป้องกันการติดเชื้อแก่บุคลากร เพื่อให้สามารถดูแลผู้ป่วยได้อย่างปลอดภัย

-เตือนเจลล้างมือเสี่ยงติดไฟ

น.พ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวถึงกรณีมีฟอร์เวิร์ดเมล์ เตือนภัยใช้เจลล้างมือทำให้ไฟลุกไหม้มือได้ ว่า ขอเตือนประชาชนที่ใช้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ หรือแอลกอฮอล์ล้างแผล ให้ระมัดระวังอย่านำเข้าใกล้เปลวไฟ เพราะเจลล้างมือมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เป็นวัตถุไวไฟ อาจทำให้เกิดอันตรายได้ โดยเฉพาะเจลล้างมือที่ยังไม่แห้งดี ยังมีความชื้นอยู่ที่มือ ให้หลีกเลี่ยงเข้าใกล้เปลวไฟ เพราะอาจเกิดลุกไหม้ได้ โดยเฉพาะผู้ที่สูบบุหรี่ ทำอาหารอยู่หน้าเตาไฟ ขอให้หลังใช้เจลล้างมือทิ้งไว้ให้แห้งประมาณ 30 วินาที จึงจะปลอดภัยเพราะแอลกอฮอล์จะระเหยไปหมดแล้ว ทั้งนี้ ประชา ชนไม่จำเป็นต้องใช้เจลล้างมือ เพราะสามารถล้างมือด้วยน้ำ ผสมน้ำสบู่ เป็นวิธีที่ดีที่สุด ประหยัด สะอาด ปลอดภัย

-เผยพบผู้ป่วยดื้อยาแล้ว

รศ.น.พ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิระดับ 11 กรมการแพทย์ กล่าวว่า ขณะนี้ทั่วโลกมีรายงานเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ดื้อยาโอเซลทามิเวียร์แล้ว 8 ราย แบ่งเป็นญี่ปุ่น 4 ราย แคนาดา 1 ราย เดนมาร์ก 1 ราย จีน 1 ราย และฮ่องกง 1 ราย สำหรับประเทศไทยขณะนี้ยังไม่มีผู้ป่วยที่ติดเชื้อดื้อยา

นายวัฒนา อู่วาณิชย์ เจ้าหน้าที่สำนักวิชาการวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า อัตราการดื้อยาของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เดิม ที่กรมเฝ้าติดตามอยู่นั้น พบว่ามีอัตราการดื้อยาโอเซลทามิเวียร์สูง ในไทยพบแล้วประมาณร้อยละ 60-70 ของผู้ป่วยทั้งหมด ซึ่งประเทศอื่นๆ ก็มีแนวโน้มเช่นเดียวกันกับประเทศไทยเหมือนกัน โดยในสหรัฐอเมริกาเหนือและญี่ปุ่นมีอัตราการดื้อยาสูงมากถึงร้อยละ 90 ของผู้ป่วยทั้งหมด ส่วนไข้หวัดใหญ่ 2009 จากการตรวจเชื้อของผู้ป่วยหนักและเสียชีวิตในไทย 30 ราย ยังไม่พบการดื้อยาและยังไม่กลายพันธุ์

-ชี้ถ้าผสมหวัดนก-สุดอันตราย

ศ.น.พ.อมร ลีลารัศมี หัวหน้าภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ดื้อยา น่าจะเกิดเพราะ 2 ประเด็น ได้แก่ 1.เชื้อไวรัสมีการพัฒนาตนเองจนเชื้อดื้อยา อาจใช้เวลา 6 เดือน หรือ 1-2 ปี และ 2.เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ผสมกับเชื้อไวรัสเอช 1 เอ็น 1 2008 ที่ดื้อยาในอัตราสูงแล้วเกิดเป็นสายพันธุ์ใหม่ที่ดื้อยาโอเซลทามิเวียร์ แต่การผสมระหว่าง 2 สายพันธุ์นี้ความดุร้ายของเชื้อไม่น่าจะเพิ่มขึ้นเพราะเชื้อไวรัส 2009 มีความรุนแรงน้อย เว้นแต่จะมีการกลายพันธุ์อีกครั้งโดยการผสมกับเชื้อไวรัสไข้หวัดนก เอช 5 เอ็น 1 ที่มีความรุนแรงของโรคค่อนข้างสูงซึ่งน่าห่วงมาก

-กทม.เร่งลดอัตราเสียชีวิต

พ.ญ.มาลินี สุขเวชชวรกิจ รองผู้ว่าฯ กทม. เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมติดตามการแพร่ระบาดไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ในพื้นที่ กทม.ว่า จากรายงานของกองควบคุมโรค สำนักอนามัย แจ้งยอดผู้ป่วยที่ยืนยันการติดเชื้อตั้งแต่วันที่ 28 เม.ย.-29 ก.ค. พบว่ามีผู้ป่วย 3,380 ราย มีผู้ป่วยที่เสียชีวิตมากที่สุด 4 เขต ได้แก่ เขตดุสิต ราชเทวี วังทองหลาง และสวนหลวง ล่าสุดมีผู้เสียชีวิตรวม 19 ราย ซึ่งที่ประชุมมีความกังวลว่าไข้หวัดดังกล่าวจะระบาด และทำให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น จึงได้กำหนดมาตรการเชิงรุกเพิ่มเติม คือให้ทุกเขตมีแผนที่ที่ระบุถึงที่ตั้งชุมชน ห้างสรรพสินค้า โรงเรียน สถานพยาบาล หรือหน่วยงานราชการในพื้นที่ และลงพื้นที่ตรวจคัดกรองโรคทุกบ้านอย่างละเอียด

ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาว่า ในวันที่ 31 ก.ค. เวลา 12.30 น. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จัดแถลงข่าวและทำความสะอาดอาคารรัฐสภาทั้งหมด เพื่อต้อนรับการเปิดสมัยประชุมนิติบัญญัติ ซึ่งจะเริ่มในวันที่ 1 ส.ค. โดยใช้ชื่อว่า "บิ๊กคลีนนิ่งเดย์ มหกรรมทำความสะอาดสู้หวัด 2009" หลังจากที่ก่อนหน้านี้สำนักงานเลขาธิการสภาได้ทำความสะอาดอาคารรัฐสภาและห้องประชุม ห้องทำงานต่างๆอย่างต่อเนื่องทุกวัน รวมทั้งมีการพ่นยาฆ่าเชื้อโรคบริเวณห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎรทุกสัปดาห์

-เผยสาวแท้งโคราช-ติดหวัด 09

น.พ.วีรศักดิ์ เกียรติผดุงกุล รอง ผอ.ร.พ. มหาราชนครราชสีมา เปิดเผยถึงความคืบหน้าอาการล่าสุดของหญิงสาวอายุ 16 ปี ชาว อ.ด่านขุนทด ที่เกิดภาวะแท้งลูกขณะตั้งครรภ์ได้ 6 เดือน หลังจากป่วยเป็นไข้หวัด และรักษาตัวอยู่ที่ห้องไอซียูของร.พ.ว่า จากผลตรวจเชื้อยืนยันว่าเป็นไข้หวัด 2009 โดยผู้ป่วยได้เข้ามารับการรักษาตั้งแต่วันที่ 20 ก.ค. ส่งตัวมาจาก ร.พ.ด่านขุนทด

น.พ.วีรศักดิ์กล่าวว่า ขณะนี้อาการของผู้ป่วยยังน่าเป็นห่วง เนื่องจากเชื้อลุกลามลงสู่ปอดอย่างรวดเร็ว แพทย์รักษาด้วยการให้ยาต้านไวรัส และต้องใช้เครื่องช่วยหายใจตลอดเวลา เนื่องจากระบบหายใจล้มเหลว สำหรับภาวะแท้งลูกนั้นผู้ป่วยไม่มีอาการตกเลือดหรือมีอาการผิดปกติแต่อย่างใด การแท้งลูกถือว่าเป็นเรื่องปกติสำหรับผู้ที่ป่วยและสภาพร่างกายอ่อนแอไม่มีภูมิต้านทาน ส่งผลให้เด็กในครรภ์ไม่สามารถทนต่อภาวการณ์เกิดโรคได้จึงแท้ง

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook