โควิด-19 ฉายภาพชัด ทรัมป์ทรงพลังในเวทีโลก แต่แทบไร้อำนาจคุมโรคในสหรัฐอเมริกา
จนถึงเวลานี้ สถิติคนอเมริกันตายด้วยไวรัสโควิด-19 พุ่งเกิน 50,000 ราย สูงที่สุดในโลกมากกว่าทุกประเทศและแนวโน้มที่จะเสียชีวิตถึงหลักหลายแสนคนก่อนที่โรคร้ายนี้จะสงบลง ทำให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เกิดอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออกหนักมาก
เนื่องจากประธานาธิบดีทรัมป์เคยประกาศต่อสาธารณชนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้เองว่า ไวรัสโควิด-19 ก็คือไข้หวัดธรรมดา เมื่อถึงเดือนเมษายนอันเป็นฤดูใบไม้ผลิเต็มที่แล้ว โรคระบาดโควิด-19 ก็จะหายไปเอง แต่แล้วกลับปรากฏว่าสหรัฐอเมริกาทำสถิติมีประชากรทั้งติดโรคไวรัสโควิด-19 มากสุดในโลกคือเกินหลัก 1 ล้านราย และตายด้วยโรคโควิด-19 มากที่สุดในโลกอีกด้วย
ประธานาธิบดีทรัมป์ก็เริ่มหันรีหันขวางและเริ่มป้ายความผิดคนโน้นคนนี้ โดยเมื่อวันพุธที่ 15 เมษายน ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศระงับการให้เงินสนับสนุนแก่องค์การอนามัยโลกหรือ WHO แล้ว โดยสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศผู้ให้เงินอุดหนุนองค์การอนามัยโลกซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้สังกัดยูเอ็นรายใหญ่
โดยแต่ละปีสหรัฐฯ ให้เงินอุดหนุนองค์การอนามัยโลกประมาณกว่า 400 ล้านดอลลาร์ หรือราว 15% ของจำนวนเงินสนับสนุนโดยรวมที่องค์การอนามัยโลกได้รับในปีที่แล้ว ส่วนสาธารณรัฐประชาชนจีนให้เงินอุดหนุนองค์การอนามัยโลกราว 40 ล้านดอลลาร์ต่อปี
ประธานาธิบดีทรัมป์ได้กล่าวว่า องค์การอนามัยโลกต้องทบทวนตัวเองในด้านการบริหารจัดการที่ผิดพลาดอย่างร้ายแรง จนทำให้ไวรัสโควิด-19 ระบาดไปทั้งโลก และยังได้โจมตีนายเทดรอส อาดานอม เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก ว่าล้มเหลวโดยสิ้นเชิงในการรับมือกับการระบาดของโควิด-19 เนื่องจากมีการให้คำแนะนำที่ลำเอียงให้ความสำคัญกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ทั้งยังให้คำแนะนำต่อโลกอย่างผิดๆ เกี่ยวกับหน้ากากอนามัยว่าคนปกติไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากากอนามัยเมื่อออกนอกบ้าน จนเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ไวรัสระบาดไปทั่วโลก
- สหรัฐเบรกจ่ายเงินหนุน WHO อ้างคุมโควิด-19 ไม่อยู่ หวังปฏิรูปองค์กร-ไม่เข้าข้างจีน
- ทั่วโลกรุมสวด "ทรัมป์" หลังประกาศตัดเงินสนับสนุน "องค์การอนามัยโลก"
นอกจากนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ยังเล่นใหญ่ถึงขนาดอ้างว่าประธานาธิบดีมีอำนาจเต็มที่จะสั่งให้เปิดธุรกิจห้างร้านต่างๆ ในมลรัฐทั้งสหรัฐอเมริกาได้ ทั้งๆ ที่ปัจจุบัน ผู้ว่าการรัฐ 42 มลรัฐจากทั้งหมด 50 มลรัฐในสหรัฐอเมริกา ออกคำสั่งให้ประชาชนอยู่แต่ในที่พักอาศัยเท่านั้น แบบว่าประธานาธิบดีมีอำนาจเต็มที่จะสั่งการในทุกมลรัฐได้จึงเป็นที่ขบขันและล้อเลียนกันเอิกเกริกว่า “กษัตริย์ทรัมป์”
เนื่องจากชาวอเมริกันแทบทุกคนทราบดีว่าประเทศสหรัฐอเมริกาประกอบด้วยมลรัฐต่างๆ 50 รัฐ รวมตัวเข้าเป็นประเทศเดียวกันเรียกว่า สหรัฐอเมริกา แต่บรรดามลรัฐทั้งหมดนี้ถือว่ามีอำนาจอธิปไตยเป็นของแต่ละมลรัฐอย่างเต็มที่ เพียงแต่แบ่งอำนาจอธิปไตยบางส่วนให้รัฐบาลกลางไปเท่านั้น
ดังนั้น รัฐบาลกลางจะมีอำนาจส่วนใหญ่เกี่ยวกับกรณีระหว่างมลรัฐต่อมลรัฐ และกรณีระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกากับประเทศอื่นๆ ดังนั้นเรื่องใดที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ภายในมลรัฐของแต่ละมลรัฐโดยเฉพาะและไม่เกี่ยวกับมลรัฐอื่น และไม่ปรากฏจากรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายใดว่าอยู่ในอำนาจของรัฐบาลกลาง มลรัฐนั้นๆ ย่อมมีอำนาจเด็ดขาดและสูงสุด เพราะแต่ละมลรัฐมีรัฐบาลของตนเอง มีผู้ว่าการมลรัฐเป็นหัวหน้ารัฐบาล มีหน่วยรัฐการต่างๆ เป็นผู้รับผิดชอบการบริหารกิจการต่างๆ ภายในมลรัฐ แต่ละมลรัฐมีเมืองหลวงของมลรัฐเอง มีรัฐสภาของตนเอง มีศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ ศาลสูงสุดของมลรัฐเอง และมีการออกกฎหมายของตนเองได้ แต่ต้องไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญของประเทศ จึงไม่เป็นการแปลกประหลาดที่การกระทำในเรื่องเดียวกัน บางกรณีอาจเป็นความผิดในรัฐหนึ่งและอาจไม่เป็นความผิดในอีกรัฐหนึ่งก็ได้ ดังนั้น ระบบกฎหมายและระบบศาลของสหรัฐอเมริกาจึงมีความซับซ้อนและแตกต่างจากประเทศอื่นโดยทั่วไป
ระบบกฎหมายของประเทศสหรัฐอเมริกานั้น แต่ละรัฐจะมีอิสระในการบัญญัติกฎหมายของตนเองโดยรัฐบาลกลางไม่สามารถแทรกแซงได้ เช่น การกำหนดว่าการกระทำใดจะเป็นความผิดอาญาหรือไม่ อย่างไร และมีหลักเกณฑ์ในการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับวิธีพิจารณาความอย่างไรนั้นเป็นอำนาจของมลรัฐทั้งสิ้น เนื่องจากมีเหตุผลพื้นฐานทางประวัติศาสตร์ในการรวมตัวเป็นสหรัฐอเมริกาในอดีตที่ไม่ต้องการให้รัฐบาลกลางมีอำนาจมากเกินไปจนถึงขนาดที่จะเข้ามาควบคุมรัฐบาลของมลรัฐได้ จึงเป็นที่รับรู้กันว่ารัฐบาลของมลรัฐเท่านั้นที่จะทำหน้าที่ปกป้องสิทธิและเสรีภาพของประชาชน
รัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกามีบทบัญญัติที่เขียนแบ่งแยกอำนาจอย่างชัดเจนทั้งในแนวราบและแนวดิ่ง โดยในแนวราบที่ว่า ก็คือ หลักการการแบ่งแยกอำนาจ ระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ ส่วนในแนวดิ่ง ก็จะแบ่งแยกอำนาจระหว่างรัฐบาลมลรัฐและรัฐบาลกลาง อย่างชัดเจนเช่นกัน โดยรัฐบาลกลางจะมีอำนาจในการออกกฎหมายที่มุ่งควบคุมกิจกรรมของรัฐบาลในระดับมลรัฐได้ในเฉพาะอำนาจที่กำหนดไว้เท่านั้น โดยกำหนดไว้ชัดแจ้งว่า อำนาจใดที่ไม่ได้กำหนดให้เป็นอำนาจของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ย่อมเป็นอำนาจของมลรัฐทั้งสิ้น โดยอำนาจที่บัญญัติว่าเป็นอำนาจของรัฐบาลกลาง เช่น อำนาจเกี่ยวกับการจัดทำถนนหนทาง อำนาจทางกิจการต่างประเทศ อำนาจในการสถาปนาสกุลเงินให้มีเพียงหนึ่งเดียว (ไม่อย่างนั้นก็จะมีเงินตราถึง 50 สกุล) ฯลฯ
ครับ! ขนาดเด็กนักเรียนที่เพิ่งจบการศึกษาระดับประถมศึกษาของอเมริกาต้องสอบวิชารัฐธรรมนูญให้ผ่านทุกคน ย่อมทราบดีว่าประธานาธิบดีไม่มีอำนาจที่จะสามารถสั่งผู้ว่าการมลรัฐได้ในกิจการของแต่ละมลรัฐ เนื่องจากสหรัฐอเมริกาเป็นรัฐรวม ไม่ใช่ใช่รัฐเดี่ยวนั่นเองล่ะครับ