สาวไส้คนสร้างหนัง พระไตรปิฎก! ส่อไม่โปร่งใส-แอบอ้าง
ม.มหามกุฎฯ สาวไส้ผู้สร้างหนังพระไตรปิฎกส่อแววไม่โปร่งใส พบสำนักงานบริษัทเป็นแค่บ้านร้าง เผยพฤติกรรมนำพระบรมฉายาลักษณ์ ตราสัญลักษณ์ของมมร.ไปแอบอ้างรับเงินบริจาคกว่า 10 ล้านบาท แต่เงินหายจ้อย ทำให้มหาวิทยาลัยเสียชื่อเสียง ประกาศเอาเรื่องถึงที่สุดทั้งทางแพ่งและอาญา ในขณะที่ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ยังกบดานเงียบ
เมื่อวันที่ 4 ส.ค. ที่หอประชุมมหาวิทยาลัย มหามกุฏราชวิทยาลัย (มมร.) นายสงกรานต์ อัจฉริยทรัพย์ โฆษกฝ่ายกฎหมาย มมร. กล่าวแถลงข้อเท็จจริง คดีจัดสร้าง"ภาพยนตร์พระไตรปิฎก" ว่า ตามที่ มมร. ได้เข้าร้องทุกข์ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ เกี่ยวกับพฤติกรรมที่ไม่ชอบมาพากลของกลุ่มผู้จัดสร้างภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวนั้น กลุ่มบุคคลดังกล่าวได้สร้างความเสียหายต่อ มมร. เป็นอย่างมาก เนื่องจากมีการนำชื่อของ มมร. ไปขอรับบริจาคจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเป็นจำนวนมาก โดยที่ มมร. ไม่ได้อนุญาตและไม่มีส่วนรู้เห็นด้วย รวมทั้งมีการนำพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และตราสัญลักษณ์ฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ไปใช้ในการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อขอรับบริจาค ซึ่งทางสำนักราชเลขาธิการได้ทำหนังสือแจ้งมายังดีเอสไอว่า บริษัทผู้จัดสร้างภาพยนตร์พระไตรปิฎก ไม่ได้มีการขอพระบรมราชานุญาตนำพระบรมฉายา ลักษณ์และตราสัญลักษณ์ดังกล่าวไปใช้แต่อย่างใด
นายสงกรานต์ กล่าวต่อไปว่า ทาง มมร. ยังได้สืบข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทผลิตภาพยนตร์ พบว่า สำนักงานที่ได้จดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เลขที่ 555 ถนนนวมินทร์ 28 แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กท. เป็นบ้านร้างมีสภาพทรุดโทรม นอกจากนี้ มมร. ยังได้รับการร้องเรียนจากผู้เสียหายเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ที่เคยบริจาคเงินจัดสร้างภาพยนตร์พระไตรปิฎก รายละ 50,000-100,000 บาท ซึ่งรวมมูลค่าแล้วไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท โดยที่เงินบริจาคไม่ได้เข้ามายัง มมร. แต่อย่างใด
"จากการรวบรวมหลักฐานเอกสารที่หน่วยงานราชการและภาคเอกชนส่งมาให้ มมร. พบว่า กลุ่มบุคคลดังกล่าวได้ทำหนังสือขอรับบริจาคไปตามหน่วยงานต่าง ๆ อาทิ กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จำนวน 1,570 ล้านบาท ที่สำคัญมีการของบฯกลางจากรัฐบาลปีละ 99 ล้านบาท ผูกพันเป็นเวลา 5 ปี ด้วย ดังนั้นทาง มมร. จะดำเนินการกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งที่เป็นคนใน และกลุ่มบุคคลภายนอกให้ถึงที่สุดทั้งคดีอาญา และคดีแพ่ง" โฆษกฝ่ายกฎหมาย มมร. กล่าว
นายสงกรานต์ กล่าวอีกว่า กลุ่มบุคคลดังกล่าวยังได้นำเรื่องการสร้างภาพยนตร์พระไตร ปิฎก เชื่อมโยงการขอรับบริจาคกับโครงการเชิญชวนเช่าบูชาวัตถุมงคลพุทธโสธร รุ่นเจริญสุข ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิ การและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) โดยได้แอบอ้างชื่อของ มมร. เข้าไปเกี่ยวข้อง ดังนั้น มมร.จะประสานทางดีเอสไอ ให้ช่วยตรวจสอบเส้นทางการเงินของผู้บริหาร สกสค. รวมทั้งกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องด้วย เพื่อสอบสวนหาผู้กระทำผิด ในขณะเดียวกัน มมร. ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 1 ชุด เพื่อสอบสวนข้อเท็จจริงบุคคลภายในที่เกี่ยวข้องกับการจัดสร้างภาพยนตร์พระไตรปิฎกและการเช่าวัตถุมงคล สกสค. ซึ่งคาดว่า จะสรุปผลได้ภายใน 3 วัน หากพบว่าบุคคลภายในเกี่ยวข้องจะดำเนินการ ได้แก่ 1.ว่ากล่าวตักเตือน 2.ภาคทัณฑ์ 3.ลดขั้น 4.ปลดออก และ 5.ไล่ออก และหากผิดทางอาญาจะฟ้องร้องต่อดีเอสไอต่อไป
"มมร. ได้ตรวจสอบกระบวนการจัดสร้างภาพยนตร์พระไตรปิฎก พบว่า มีนักการเมือง ข้าราชการ ผู้มีอิทธิพลเข้ามาเกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก ที่สำคัญจากการตรวจสอบสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ กลับพบว่าไม่มีการจัดสร้างโรงถ่าย ตามที่ได้โฆษณาแต่อย่างใด มีเพียงการถ่ายทำตามสถานที่ต่าง ๆ เท่านั้น และยังพบว่า การทำสัญญาจ้างนักแสดง กลุ่มบุคคลยังอ้างชื่อ มมร. และทำเอกสารกับนักแสดง โดยไม่มีการขออนุ ญาต ผมจึงอยากแจ้งผู้เสียหายว่า หากมีหลักฐานต่าง ๆ ให้นำไปมอบให้แก่ดีเอสไอ เพื่อเป็นประโยชน์ในการดำเนินคดีต่อไป" นายสงกรานต์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้โทรศัพท์สอบถามข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีการพาดพิงของ มมร. กับ นายสนั่นพงศ์ สุขดี ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์พระไตรปิฎกหลายครั้ง แต่ปรากฏว่านายสนั่นพงศ์ ไม่ยอมรับโทรศัพท์แต่อย่างใด