ชัยชนะเหนือ “ไวรัสโคโรนา” ของประเทศเล็ก ๆ ที่เราอาจไม่เคยรู้

ชัยชนะเหนือ “ไวรัสโคโรนา” ของประเทศเล็ก ๆ ที่เราอาจไม่เคยรู้

ชัยชนะเหนือ “ไวรัสโคโรนา” ของประเทศเล็ก ๆ ที่เราอาจไม่เคยรู้
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ขณะที่หลายประเทศทั่วโลกกำลังเผชิญหน้ากับภาวะวิกฤติโรคโควิด-19 ยังมีอีกหลายประเทศที่สามารถหาวิธีรับมือกับการแพร่ระบาดได้สำเร็จ และลดจำนวนผู้ติดเชื้อลงได้อย่างรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น ประเทศเล็ก ๆ อย่าง ประเทศเวียดนาม กรีซ สโลวีเนีย จอร์แดน และไอซ์แลนด์ ที่รัฐบาลต่างรีบออกมาตรการล็อกดาวน์เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไวรัส ขณะเดียวกันก็ทำการตรวจหาเชื้อและสอบสวนโรคประชาชนหลายพันคน แยกผู้ติดเชื้อ พร้อมทั้งรณรงค์การรักษาระยะห่างทางสังคม การสวมหน้ากากอนามัย และไม่รวมตัวกันเป็นจำนวนมากในที่สาธารณะ ความสำเร็จของมาตรการที่รัฐบาลเหล่านี้ใช้ ส่งผลให้ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 และผู้เสียชีวิตมีจำนวนลดน้อยลง นำไปสู่การเปิดโรงเรียนและธุรกิจตามปกติ ขณะที่หลายประเทศก็ไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่เลย

เบื้องหลังความสำเร็จเหนือเชื้อไวรัสโคโรนาของประเทศเล็ก ๆ เหล่านี้ จึงเป็นบทเรียนที่ประเทศอื่น ๆ อาจจะสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในประเทศของตัวเองได้

เวียดนาม: หยุดเชื้อด้วยความรวดเร็วและแข็งแกร่ง

เวียดนามเป็นประเทศที่มีรายได้ระดับปานกลางถึงต่ำ มีประชากรหนาแน่น ขณะเดียวกันก็มีดินแดนที่เชื่อมต่อกับประเทศจีน ซึ่งเป็นประเทศแรกที่มีรายงานผู้ติดเชื้อโรคโควิด-19 ทำให้เวียดนามกลายเป็นประเทศกลุ่มเสี่ยงต่อการแพร่ระบาด ทว่า รัฐบาลเวียดนามได้ใช้นโยบายที่เข้มงวดตั้งแต่ในช่วงแรก ส่งผลให้เวียดนามมีรายงานผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 เพียง 1 รายเท่านั้น

3 วิธีปฏิบัติที่เวียดนามใช้เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาด คือ การตรวจหาเชื้อ การสอบสวนโรค และการกักตัว โดยเวียดนามเริ่มพัฒนาการตรวจหาเชื้อทันทีหลังได้รับการยืนยันว่ามีประชาชน 3 รายที่เดินทางกลับมาจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ในเดือนมกราคม ติดเชื้อโควิด-19 จากนั้นเวียดนามจึงเริ่มตรวจหาเชื้อในประชาชนกว่า 300,000 ราย และแยกผู้มีอาการที่คล้ายกับโรคโควิด-19 ออกจากคนอื่น

นอกจากนี้ รัฐบาลเวียดนามยังทำการตรวจคัดกรองผู้คนที่เดินทางเข้าประเทศ และทำการกักตัวคนที่แสดงอาการของโรคเป็นเวลา 14 วัน ในสถานที่ที่รัฐบาลจัดเตรียมเอาไว้ ทั้งนี้ ประชาชนยังรับฟังคำเตือนและข้อแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข เช่น การรักษาระยะห่างทางสังคม และการสวมหน้ากากอนามัย เป็นต้น

สโลวีเนีย: อยู่บ้านและปิดประเทศ

สโลวีเนียมีประชากรเพียง 2 ล้านคน และมีรายงานผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพียง 1,500 ราย และผู้เสียชีวิต 100 ราย ในวันที่ 5 พ.ค. 2563 ถือเป็นความสำเร็จของประเทศขนาดเล็กที่เป็นจุดหมายปลายทางใหม่ของนักท่องเที่ยว และมีชายแดนติดกับประเทศอิตาลี

ความสำเร็จในการยับยั้งการระบาดของโรคมาจากการล็อกดาวน์ประเทศตั้งแต่เริ่มมีการระบาด กักตัวประชาชนที่ติดเชื้อ โดยรายงานผู้ติดเชื้อรายแรกของสโลวีเนียคือวันที่ 4 มี.ค. 2563 ซึ่งนำไปสู่การสั่งปิดโรงเรียนและภาคธุรกิจทั้งหมด พร้อมยกเลิกระบบขนส่งสาธารณะเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ขณะที่รัฐบาลก็ใช้เงินมากกว่า 3 พันล้านยูโร มาช่วยประชาชนและธุรกิจต่าง ๆ ในระหว่างการล็อกดาวน์ประเทศ

นอกจากนี้ การกักตัวยังช่วยลดจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่เช่นกัน โดยช่วงต้นเดือนเมษายน ผู้ที่เดินทางเข้าประเทศสโลวีเนียทุกคนต้องทำการกักตัวเองเป็นเวลา 14 วัน โดยรัฐบาลไม่ได้จัดเตรียมสถานที่สำหรับการกักตัวให้ ซึ่งหมายความว่า ผู้เดินทางเข้าประเทศต้องกักตัวอยู่ในบ้านหรือโรงแรม และต้องได้รับความช่วยเหลือจากครอบครัว เพื่อน หรืออาสาสมัครในการจัดหาอาหารและสิ่งของจำเป็นมาให้ ซึ่งมาตรการดังกล่าว ทำให้หลายคนตัดสินใจไม่เดินทางเข้าประเทศ

จอร์แดน: วางแผนรับมือก่อนเชื้อเดินทางเข้าประเทศ

รายงานผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายแรกของจอร์แดน คือ วันที่ 2 มี.ค. 2563 แต่ 5 สัปดาห์ก่อนหน้านั้น ทันทีที่มีรายงานการระบาดในประเทศจีน รัฐบาลจอร์แดนได้วางแผนเตรียมพร้อมรับมือกับการระบาดของโรคอย่างเป็นรูปธรรม

มาตรการของจอร์แดนคือการเลือกโรงพยาบาลที่จะกลายเป็นศูนย์รักษาผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา และวิธีการที่แพทย์จะรักษาผู้ป่วย ขณะที่รัฐบาลก็ได้ออก พ.ร.บ. ฉุกเฉิน ซึ่งส่งผลให้เกิดการล็อกดาวน์และมีมาตรการเคอร์ฟิวเสียงไซเรนจะดังขึ้นเวลา 18.00 น. ทุกวันทั่วประเทศเพื่อให้ประชาชนกลับเข้าบ้านจนถึงเวลา 10.00 น.ของวันถัดไป ห้ามรถสัญจรไปมา ขณะเดียวกันก็สั่งห้ามกิจกรรมสวดมนต์และงานศพ ประชาชนที่ฝ่าฝืนมาตรการดังกล่าวจะถูกปรับหรือจำคุก นอกจากนี้ รัฐบาลก็ทำการตรวจหาเชื้อในประชาชนกว่า 2,000 – 3,000 คนทุกวัน

มาตรการที่เข้มงวดดังกล่าวทำให้จอร์แดนมีรายงานผู้ติดเชื้อโควิด-19 ต่ำกว่า 500 ราย และผู้เสียชีวิตเพียง 10 รายเท่านั้นในวันที่ 5 พ.ค. 2563

ไอซ์แลนด์: ตรวจหาเชื้อไม่หยุด

ไอซ์แลนด์เป็นเกาะที่มีประชากรประมาณ 350,000 คน และสามารถเดินทางเข้าออกประเทศได้ทางเดียว คือผ่านสนามบินนานาชาติที่ตั้งอยู่ในเมือง Reykjavik เมืองหลวงของประเทศ แม้ไอซ์แลนด์จะดูปลอดภัยจากการระบาดของโรคโควิด-19 แต่รัฐบาลของประเทศก็เตรียมพร้อมรับมือกับเชื้อไวรัสดังกล่าวได้อย่างยอดเยี่ยม

รัฐบาลไอซ์แลนด์ตรวจหาเชื้อกว่า 13 เปอร์เซ็นต์ของประชาชนในประเทศ ด้วยความช่วยเหลือของบริษัท DeCode ซึ่งได้สร้างโปรแกรมการตรวจหาเชื้อและติดตามผู้ติดเชื้อที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในโลก สำหรับประชาชนที่มีอาการป่วย จะถูกแยกตัวออกจากผู้อื่นจนกว่าจะหายดี ซึ่งช่วยให้ประชาชนคนอื่นปลอดภัยจากการแพร่ระบาดของโรค

นอกจากนี้ ประชาชนไอซ์แลนด์ยังสามารถใช้แอปพลิเคชันเพื่อตรวจสอบและติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคในประเทศ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลก็ได้สั่งปิดบาร์ ยิม และสระว่ายน้ำ รวมถึงห้ามการรวมตัวกันที่มากกว่า 50 คน ทั้งนี้ ประชาชนที่เดินทางกลับไอซ์แลนด์ต้องทำการกักตัวเป็นเวลา 14 วัน

กรีซ: ยกระดับระบบสาธารณสุขที่อ่อนแอ

กรีซมีปัญหาเรื่องระบบสาธารณสุข ปัญหาประชากรสูงอายุที่เพิ่มมากขึ้น และเศรษฐกิจที่พึ่งพิงการท่องเที่ยวเป็นหลัก ดังนั้น เมื่อมีการระบาดของโรคโควิด-19 กรีซจึงเป็นหนึ่งประเทศที่ถูกมองว่าจะกลายเป็นจุดแพร่เชื้อที่ใหญ่อีกจุดหนึ่งในยุโรป แต่ 5 เดือนหลังจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา กรีซมีรายงานผู้ติดเชื้อเพียง 2,600 ราย และเสียชีวิตเพียง 150 รายเท่านั้น

ความสำเร็จของกรีซเกิดจากมาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวด รณรงค์การรักษาระยะห่างทางสังคม และยกระดับระบบสาธารณสุขของประเทศ นอกจากนี้ รัฐบาลยังแจ้งเตือนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศ โดยระบุว่า ผู้เดินทางเข้าประเทศต้องทำการกักตัวเป็นเวลา 14 วัน หรือจ่ายค่าปรับจำนวน 5,000 ดอลลาร์

ยิ่งไปกว่านั้น รัฐบาลก็ทำการหนุนระบบสาธารณสุขของประเทศ ด้วยการเพิ่มจำนวนเตียงผู้ป่วยกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ พร้อมเพิ่มบุคลากรทางการแพทย์กว่า 3,000 คนเพื่อรับมือกับจำนวนผู้ป่วยที่จะเพิ่มสูงขึ้น โดยเปิดรับสมัครงานหลายพันอัตราเพื่อการนี้โดยเฉพาะ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook