กทม.ฟ้องแพ่งสไตเออร์ให้สัญญาจัดซื้อดับเพลิงเป็นโมฆะ

กทม.ฟ้องแพ่งสไตเออร์ให้สัญญาจัดซื้อดับเพลิงเป็นโมฆะ

กทม.ฟ้องแพ่งสไตเออร์ให้สัญญาจัดซื้อดับเพลิงเป็นโมฆะ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

กทม.ยื่นศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศฟ้องแพ่งสไตเออร์ ให้สัญญาจัดซื้อรถ-เรือดับเพลิงเป็นโมฆะ พร้อมขอไต่สวนฉุกเฉินคุ้มครองชั่วคราวระงับจ่ายเงินรวมกว่า 51 ล้านยูโร และเรียกเงินที่จ่ายไปแล้วคืน 4 พันล้าน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ ทางกรุงเทพมหานคร (กทม.) มอบอำนาจให้อัยการยื่นฟ้อง บริษัท สไตเออร์ เดมเลอร์ พุค สเปเชียล ฟาห์ซอย์ จำกัด ประเทศออสเตรีย คู่สัญญาซื้อขายรถ เรือดับเพลิง และอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัย มูลค่า 6,687 ล้านบาท เป็นจำเลยคดีแพ่ง เรื่องให้สัญญาเป็นโมฆะ และเรียกเงินกว่า 4,000 ล้านบาท ซึ่ง กทม.ชำระค่างวดตามสัญญาไปแล้วคืน พร้อมขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉินเพื่อมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ให้ธนาคารกรุงไทย จำกัด ระงับการจ่ายเงินค่างวดที่ 6 ซึ่ง กทม.จะต้องชำระให้ บริษัท สไตเออร์ฯ ในวันที่10 สิงหาคม ไว้ก่อน ศาลรับคำฟ้องไว้พิจารณาและมีคำสั่งให้ผู้ฟ้องนำพยานเข้าไต่สวนฉุกเฉินในวันเดียวกันนี้

วันเดียวกัน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการ กทม. แถลงที่ศาลาว่าการ กทม.ว่า หลังจากที่พยายามแก้ไขปัญหานี้มานาน และพยายามเจรจาฉันมิตรกับผู้บริหารบริษัท เจเนอรัล ไดนามิกส์ จำกัด ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ บริษัท สไตเออร์ฯ และขอให้ชะลอการจ่ายเงินงวดที่ 6 ในวันที่ 10 สิงหาคมนี้ แต่บริษัท เจเนอรัลฯ เห็นว่าไม่อยู่ในฐานะที่จะให้มีการระงับการจ่ายเงิน เนื่องจากเป็นข้อตกลงระหว่างธนาคารกรุงไทย กับธนาคาร ไรเฟนเซ่น เซ็นทรัล กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย กทม.จึงดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย โดยมีหนังสือไปยังสำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) เพื่อขอให้สั่งฟ้องบริษัท สไตเออร์ฯ ในนาม กทม.ต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ เนื่องจากการลงนามในข้อตกลงความเข้าใจ หรือ เอโอยู (AOU-Agreement of Understanding) ซึ่งเป็นสัญญาระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาล เพื่อซื้อขายรถและเรือดับเพลิงมีความไม่ถูกต้องสมบูรณ์มาตั้งแต่ต้น จึงไม่มีผลผูกพันตามกฎหมาย

ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ กล่าวว่า ทั้งนี้เป็นไปตามหนังสือของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่ส่งมาถึง กทม.เนื่องจาก ป.ป.ช. ไต่สวนแล้วพบว่าการทำสัญญาซื้อขายเป็นไปโดยทุจริต และ อสส.ยื่นฟ้องขอให้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวใน 3 ประเด็น คือ 1.ขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาซื้อขายบันทึกข้อตกลงซื้อขาย ตามข้อตกลงความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย กับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรออสเตรีย 2.สั่งห้ามไม่ให้จำเลยเรียกเก็บเงินงวดที่ 6-9 จำนวน 51,779,126.64 ยูโร จากธนาคารกรุงไทย และ 3.ขอให้ศาลสั่งให้ บริษัท สไตเออร์ฯ คืนเงิน กทม. รวมทั้งดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ด้วย

"ระหว่างดำเนินคดี กทม.ขอให้ศาลสั่งคุ้มครองชั่วคราว ซึ่งสามารถชะลอการเรียกเก็บเงินในงวดที่ 6 และงวดอื่นๆ ต่อจากนี้ ซึ่ง กทม. พร้อมที่จะรับ" ผู้ว่าฯ กทม. กล่าว

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook