ศาลตัดสินจำคุก2ปี รังสรรค์ แสงสุข อดีตอธิการรามฯ กับพวกลั่นแกล้งปลดอจ.
ศาลอาญา ติดสินจำคุก 2ปี รังสรรค์ แสงสุข อดีตอธิการม.รามฯ หลังร่วมกับพวกกลั่นแกล้งปลดอาจารย์คณะศึกษาศาสตร์พ้นตำแหน่ง กล่าวหาลอกเลียนผลงานทางวิชาการ แต่ให้รอลงอาญา 2 ปี ปรับ 2 หมื่นบาท
ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 6 สิงหาคม ศาลพิพากษาจำคุก ศาสตราจารย์รังสรรค์ แสงสุข อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง และ ร.ศ.ระวิวรรณ ศรีคร้ามครัน อดีตคณบดีคณะศึกษาศาสตร์ จำเลยที่ 1 และ 3 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฎิบัติหรือละเว้นการปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เป็นเวลาคนละ 2 ปี ปรับคนละ 2 หมื่นบาท แต่โทษจำคุกให้รอลงอาญาเป็นเวลา 2 ปี
ส่วน ร.ศ.ประสาท สง่าศรี รองอธิบการบดี จำเลยที่ 5 ในความผิดฐานเดียวกัน ลงโทษจำคุก 1 ปี ปรับ 1 หมื่นบาท
และให้ยกฟ้อง ร.ศ.เฉลิมพล ศรีหงส์ อดีตรองอธิการบดี ร.ศ.วิรัตน์ แดนราช รองอธิบการบดี นายประชา ประยูรพัฒน์ ผอ.กองการกีฬา นางทิพาพัน ศรีวัฒนศิริกุล หัวหน้างานบุคคล ร.ศ.วิริยะ เกตุมาโร รองอธิการบดี ร.ศ.วัฒน์ บุญกอบ รองอธิการบดี ร.ศ.บุเรง ธนพันธุ์ รองอธิการบดี ร.ศ. กัลยา ตัณศิริ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ จำเลยที่ 2, 4, และ 6 - 11
คดีนี้ ร.ต.ท.จรัญ ธานีรัตน์ อดีตอาจารย์ประจำคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหงคดีนี้โจทก์ฟ้องและนำสืบว่า เดิมโจทก์เป็นอาจารย์ประจำคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้ทำวิจัยและยื่นผลงานวิจัยกับเอกสารทางวิชาการ เสนอคณะผู้บริหารของมหาวิทยาลัย เพื่อประกอบการพิจารณาเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ (ผ.ศ.)ระดับ 6
โจทก์ได้เสนอเอกสารดังกล่าวผ่านจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นคณบดีคณะศึกษาศาสตร์ ให้เสนอต่อไปยังจำเลยที่1ซึ่งเป็นอธิการบดี การพิจารณาดังกล่าวต้องมีการพิจารณากลั่นกรองผลงานของโจทก์ ซึ่งมีพวกจำเลยเป็นกรรมการกลั่นกรอง
ต่อมามีผู้กล่าวหาว่าโจทก์ลอกเลียนผลงานทางวิชาการจากบุคคลอื่น จากนั้นได้มีการแต่งตั้งจำเลยที่ 4 เป็นประธานสอบข้อเท็จจริง จำเลยที่5 - 7เป็นกรรมการ สรุปการสอบสวนว่าการกระทำของโจทก์ผิดวินัยจึงมีการตั้งจำเลยที่ 8 เป็นกรรมการสอบวินัย และมีจำเลย 9 - 11 ร่วมเป็นกรรมการสอบสวน
ต่อมากรรมการมีมติให้ปลดโจทก์ออกจากราชการ ซึ่งการกระทำของจำเลยที่ 3-11 เป็นการกลั่นแกล้งโจทก์และเอาใจจำเลยที่ 1
หลังจากนั้นโจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์มติดังกล่าวจากอนุกรรมการ ซึ่งก็เห็นว่าโจทก์มิได้กระทำผิด โจทก์นำมติดังกล่าวไปแจ้งคณะกรรมการชุดใหญ่ กลับเพิกเฉยไม่นำเรื่องเสนอโจทก์กลับเข้ารับราชการทำให้โจทก์เสียหาย
จำเลยให้การปฎิเสธว่า พวกจำเลยได้รับร้องเรียนเรื่องดังกล่าวจึงตั้งคณะทำงานสอบสวนข้อเท็จจริงตาม ขั้นตอน และรับฟังข้อเท็จจริงจากทุกฝ่ายไปตามอำนาจหน้าที่ และหลักวิชาการ ไม่มีเจตนากลั่นแกล้งโจทก์
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานนำสืบทั้งสองฝ่ายแล้วเห็นว่า แม้โจทก์จะถูกกล่าวหาว่า ลอกเลียนผลงานทางวิชาการ แต่ก็ได้อ้างอิงแหล่งที่มาไว้ท้ายเล่ม ถือว่า ไม่มีเจตนาปกปิด การกระทำของจำเลยที่ 1, 3 และ 5 เป็นการเลือกปฎิบัติ ใช้ดุลยพินิจโดยมิชอบ โดย เฉพาะจำเลยที่ 1 เป็นอธิการบดีมานาน ย่อมรู้ว่า เหตุการณ์และข้อเท็จจริงต่างๆ เป็นเช่นไร ฟังได้ว่าเฉพาะจำเลยที่ 1, 3และ 5 กระทำผิดตามฟ้อง พิพากษาลงโทษจำคุกดังกล่าว ส่วนจำเลยที่ 2 , 4 , และ 6 - 11 โจทก์ไม่นำสืบให้เห็นว่ามีความผิดอย่างไร จึงพิพากษายกฟ้อง
ภายหลังฟังคำพิพากษา จำเลยที่ถูกลงโทษยืนยันว่าได้เตรียมยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาทั้งข้อเท็จจริงและ ข้อกฎหมาย เนื่องจากยังมีความเห็นแย้งกับคำพิพากษา
ส่วนร.ต.ท.จรัญ โจทก์เผยว่าดีใจที่ได้รับความเป็นธรรม เพราะตนต้องเสียโอกาสในการลงสมัคร ส.ส.นครศรีธรรมราช จากเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อผลคำพิพากษาออกมาเช่นนี้ตนก็รู้สึกพอใจ