ดาวโจนส์ปิดตลาดติดลบ 109.33 จุด กังวลโควิด-19 ระบาดรอบ 2 หลังคลายล็อกดาวน์
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (11 พ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าการที่หลายประเทศผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์เร็วเกินไปอาจทำให้ไวรัสโควิด-19 กลับมาแพร่ระบาดเป็นรอบที่ 2 อย่างไรก็ดี ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดในแดนบวก โดยได้แรงหนุนจากคำสั่งซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และกลุ่มธุรกิจสุขภาพ
- ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,221.99 จุด ลดลง 109.33 จุด หรือ -0.45%
- ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,930.32 จุด เพิ่มขึ้น 0.52 จุด หรือ +0.02%
- ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 9,192.34 จุด เพิ่มขึ้น 71.02 จุด หรือ +0.78%
ดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดอ่อนแรงลง ท่ามกลางความวิตกกังวลที่ว่า การที่หลายประเทศเปิดเศรษฐกิจเร็วเกินไปอาจทำให้ไวรัสโควิด-19 กลับมาแพร่ระบาดเป็นรอบที่ 2 โดยรายงานระบุว่า จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในจีน เกาหลีใต้ และเยอรมนีได้ดีดตัวขึ้นอีกครั้ง หลังรัฐบาลประกาศคลายมาตรการล็อกดาวน์ในประเทศ
ทางด้านญี่ปุ่นอาจประกาศยกเลิกภาวะฉุกเฉินในสัปดาห์นี้ ขณะที่นิวซีแลนด์อาจผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในวันพฤหัสบดี ส่วนอังกฤษได้เสนอแผนที่จะเปิดเศรษฐกิจแล้ว และร้านค้าในฝรั่งเศสได้กลับมาเปิดบริการเมื่อวานนี้
ขณะที่ มาร์ค แซนดี หัวหน้านักวิเคราะห์จากมูดี้ส์ อนาลิติกส์ เตือนว่า สหรัฐอเมริกามีความเสี่ยงที่โควิด-19 จะกลับมาระบาดหนักรอบที่ 2 เนื่องจากการเปิดเศรษฐกิจเร็วเกินไปทำให้ประชาชนกลับมารวมตัวเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ หากเกิดการแพร่ระบาดรอบที่ 2 จะยิ่งเป็นการซ้ำเติมเศรษฐกิจให้เข้าสู่ภาวะถดถอย โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ช่วงนี้ยังไม่มีวัคซีนรักษาโรค
ทั้งนี้ ความวิตกดังกล่าวทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ซึ่งรวมถึงหุ้นกลุ่มสายการบิน กลุ่มเรือสำราญ และกลุ่มธุรกิจกาสิโน โดยหุ้นยูไนเต็ด แอร์ไลน์ ดิ่งลง 5.7% หุ้นเดลต้า แอร์ไลน ร่วงลง 3.12% หุ้นอเมริกัน แอร์ไลน์ ลบ 0.4% หุ้นเซาท์เวสต์ แอร์ไลน์ ร่วงลง 4.05% หุ้นเจ็ทบลู ร่วงลง 5.8%
ส่วนหุ้นในกลุ่มเรือสำราญและกาสิโนที่ดิ่งลงเมื่อคืนนี้ หุ้นรอยัล คาริบเบียน ครูซ ร่วงลง 4.5% และหุ้นนอร์เวย์เจียน ครูซ ไลน์ โฮลดิ้ง ร่วงลง 5.5% หุ้นเอ็มจีเอ็ม รีสอร์ท อินเตอร์เนชันแนล ดิ่งลง 6.06% หุ้นลาเวกัส แซนด์ส คอร์ป ร่วงลง 4.8%
หุ้นอันเดอร์ อาร์เมอร์ ผู้ผลิตเครื่องกีฬาและเสื้อผ้ากีฬารายใหญ่ของสหรัฐ ร่วงลง 9.36% หลังจากบริษัทเปิดเผยตัวเลขขาดทุน 34 เซนต์/หุ้น ในไตรมาส 1 ซึ่งย่ำแย่กว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะขาดทุนเพียง 19 เซนต์/หุ้น โดยได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
หุ้นแมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งเป็นเครือโรงแรมขนาดใหญ่ระดับโลก ร่วงลง 5.58% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรในไตรมาส 1 ลดลงสู่ระดับ 26 เซนต์/หุ้น ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 80 เซนต์/หุ้น อันเนื่องจากยอดจองห้องพักที่ลดลงจากมาตรการล็อกดาวน์ของรัฐบาลเพื่อสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งส่งผลให้โรงแรมถึง 1 ใน 4 ของทางบริษัทต้องปิดการดำเนินงานในช่วงดังกล่าว
หุ้น Chesapeake Energy Corp ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตน้ำมันจากชั้นหินดินดาน (shale oil) ของสหรัฐฯ ทรุดตัวลง 12.36% หลังจากบริษัทออกแถลงการณ์ยืนยันว่ากำลังพิจารณายื่นเรื่องต่อศาลเพื่อเข้าสู่กระบวนการล้มละลาย ท่ามกลางหนี้สินจำนวนมาก หลังเผชิญกับราคาน้ำมันที่ตกต่ำอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และกลุ่มธุรกิจสุขภาพดีดตัวขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดตลาดในแดนบวก โดยหุ้นแอปเปิล พุ่งขึ้น 1.57% หุ้นอัลฟาเบท พุ่งขึ้น 1.4% หุ้นเฟซบุ๊ก เพิ่มขึ้น 0.4% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ เพิ่มขึ้น 1.14% หุ้นอเมซอนดอทคอม บวก 1.24% หุ้นไมโครซอฟท์ เพิ่มขึ้น 1.12% หุ้นซิสโก ซิสเต็มส์ บวก 0.77%
ส่วนหุ้นในกลุ่มธุรกิจสุขภาพที่ดีดตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ หุ้นไฟเซอร์ พุ่งขึ้น 2.4% หุ้น Gilead Sciences ทะยานขึ้น 4.27% หุ้นแอ๊บบอต ลาบอแรตอรีส พุ่งขึ้น 2.5% หุ้นเมอร์ค แอนด์ โค พุ่งขึ้น 2%
นักลงทุนจับตาสถานการณ์การค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนอย่างใกล้ชิด หลังจากผู้แทนการค้าสหรัฐฯ และจีน ได้หารือกันเกี่ยวกับข้อตกลงการค้าเฟสแรก ขณะที่จีนระบุว่า ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันที่จะปรับปรุงบรรยากาศเพื่อส่งเสริมการปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าว
นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ด้วย ซึ่งรวมถึงดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือน เม.ย., ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือน เม.ย., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ยอดค้าปลีกเดือน เม.ย., ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Manufacturing Index) เดือน พ.ค.จากเฟดนิวยอร์ก, การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือน เม.ย., สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือน มี.ค. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน พ.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน