อาจารย์สาวแจ้งจับสามีตัวเอง ล่วงละเมิดลูกสาว 9 ขวบ ลูกชาย 7 ขวบ นานข้ามปี

อาจารย์สาวแจ้งจับสามีตัวเอง ล่วงละเมิดลูกสาว 9 ขวบ ลูกชาย 7 ขวบ นานข้ามปี

อาจารย์สาวแจ้งจับสามีตัวเอง ล่วงละเมิดลูกสาว 9 ขวบ ลูกชาย 7 ขวบ นานข้ามปี
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

(12 พ.ค.63) นางก้อย (นามสมมุติ) อายุ 37 ปี อาจารย์สถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งในจังหวัดนครราชสีมา ได้นำเอกสารใบแจ้งความ เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2553 โดยมี พันตำรวจโทหญิง วิสาสิริ เกียรติวิลัย รองผู้กำกับการสอบสวน สภ. เมืองนครราชสีมา เป็นผู้รับแจ้ง เข้าร้องเรียนกับสื่อมวลชน โดยระบุอ้างว่า สามีของตนเอง คือ นายรังสรรค์ (นามสมมุติ) อายุ 47 ปี ซึ่งเป็นอาจารย์สอนอยู่สถาบันการศึกษาเดียวกันกับภรรยา ได้กระทำล่วงละเมิดลูกแท้ๆ ทั้งสองคน คือ ลูกสาว อายุ 9 ปี และลูกชาย อายุ 7 ปี เป็นระยะเวลานานหลายเดือน โดยใช้สถานที่ในบ้านพักของตนเองกระทำความผิด โดยจะอาศัยจังหวะที่ตนไม่อยู่บ้าน

นางก้อย (นามสมมุติ) เปิดเผยอีกว่า ลูกสาว และลูกชายของตน เคยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เพื่อนข้างบ้านฟังว่า ถูกพ่อบังเกิดเกล้าล่วงละเมิดทางเพศอยู่บ่อยครั้ง และถูกข่มขู่ไม่ให้บอกใคร จนทำให้ลูกทั้งสองคนมีอาการซึมเศร้า และหวาดกลัวพ่อของตนเอง หลังจากนั้นเมื่อช่วงปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมาตนเห็นผิดสังเกตจึงได้สอบถามลูกทั้งสองคนจนทราบว่า พ่อจะอาศัยจังหวะที่ตนเองไม่อยู่ หรือเวลาที่ตนพาลูกคนใดคนหนึ่งออกไปนอกบ้าน กระทำอนาจารล่วงละเมิดทางเพศลูกคนที่อยู่บ้าน โดยสั่งให้ลูกขึ้นบ้านบริเวณชั้น 2 พร้อมทั้งเปิดคลิปวิดีโอลามกในโทรศัพท์ให้ลูกดูก่อนที่จะปฏิบัติภารกิจ ซึ่งกระทำอย่างนี้มาหลายครั้งแล้วตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา แต่ลูกๆ ไม่กล้าที่จะบอกตน เพราะถูกพ่อข่มขู่ไว้ หากเล่าให้คนอื่นฟังจะนำตัวไปส่งขายต่างประเทศ

ซึ่งหลังจากตนทราบเรื่องที่เกิดขึ้นตนเองรับไม่ได้ และได้พาลูกชาย และลูกสาวออกมาอาศัยนอนบ้านเพื่อน แต่ก็ยังถูกสามีของตนซึ่งเป็นพ่อของเด็กตามมาข่มขู่คุกคาม ซึ่งหลังตนเองทราบเรื่องได้นำลูกทั้งสองเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองนครราชสีมา และพาลูกทั้งสองคนไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ซึ่งตนจะดำเนินคดีเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด แต่หลังจากเข้าแจ้งความไปแล้ว จนถึงขณะนี้เรื่องก็ยังเงียบ ตนจึงเข้าร้องเรียนกับสื่อมวลชนเพราะกลัวว่าคดีจะไม่คืบหน้า

เด็กหญิงบี (นามสมมุติ) อายุ 9 ปี เปิดเผยว่า พ่อทำอนาจารตนเองด้วยการถอดกางเกง และได้เอาอวัยวะเพศของพ่อมาสอดใส่บริเวณรูทวารของตนเอง ตอนนั้นตนเองก็ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่รู้สึกไม่ชอบ และรังเกียจเป็นอย่างมาก โดยพ่อของตนกระทำในลักษณะดังกล่าวบ่อยครั้ง จนตอนนี้ตนรู้สึกกลัว และไม่กล้าเข้าใกล้พ่ออีกแล้ว

เด็กชายเอ (นามสมมุติ) อายุ 7 ปี เปิดเผยว่า พ่อกระทำกับตนเองลักษณะเช่นเดียวกันกับพี่สาว ซึ่งตนรู้สึกเจ็บมาก และพยายามจะบอกคุณแม่หลายครั้ง แต่ก็โดนพ่อข่มขู่ว่าหากไปบอกคุณแม่จะทำโทษ และเอาไปขายให้กับคนอื่นด้วย

ล่าสุดเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา (12 พ.ค.63) เวลา 17.00 น. อาจารย์ชายผู้ถูกกล่าวหาได้เดินทางเข้าพบกับ พันตำรวจเอก กฤตยา เลาประสพวัฒนา ผู้กำกับการ สภ.เมืองนครราชสีมา เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ และเข้าชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้น โดยระบุว่า ตนเดินทางมาพบกับตำรวจในวันนี้เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ โดยเรื่องที่เกิดขึ้นคาดว่าภรรยาของตนอาจเกิดความเครียด และคงดูข่าวข่มขืนตามสื่อต่างๆ จนเกิดความระแวง ซึ่งก่อนหน้านี้ตนก็ไม่ได้มีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกับภรรยาแต่อย่างใด

โดยล่าสุดเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาตนเพิ่งเจอกับลูกสาวที่ร้านซักผ้า และลูกสาวได้วิ่งหนีตน ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นตนก็ไม่รู้จริงๆ ว่าเกิดขึ้นเพราะสาเหตุอะไร เพราะอยู่ด้วยกันก็ไม่ได้เคยมีเรื่องทะเลาะอะไรกันเลย แต่เมื่อประมาณ 2 สัปดาห์ก่อนหน้านี้ภรรยาของตนเคยพูดเปรยๆ ว่าอย่าทำกับลูกอย่างนี้นะ ซึ่งตนก็ได้ปฏิเสธว่าไม่ได้ทำอะไร ก่อนที่ภรรยาจะพาลูกๆ หนีออกจากบ้านไปพักที่อื่น ทั้งนี้ตนขอต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม ซึ่งตนพร้อมให้ความร่วมมือทุกอย่าง และยืนยันว่าตนไม่ได้กระทำกับลูกของตัวเองอย่างที่ถูกฝ่ายภรรยากล่าวหาอย่างแน่นอน

ด้านพันตำรวจเอก กฤตยา เลาประสพวัฒนา ผกก.สภ.เมืองนครราชสีมา เปิดเผยว่า ในส่วนของคดีกำลังรวบรวมพยานหลักฐาน และประสานเจ้าหน้าที่สหวิชาชีพดำเนินการสอบปากคำเด็กทั้งสองคนเพิ่มเติม เนื่องจากการสอบปากคำครั้งแรกเด็กไม่ได้ให้การว่าถูกพ่อเป็นผู้กระทำ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน พนักงานสอบสวนกำลังรวบรวมหลักฐานอย่างรัดกุม และกำลังรอผลตรวจร่างกายของเด็กทั้งสองคนจากโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ซึ่งจะทราบผลในเร็ว ฃๆ นี้ โดยในส่วนอาจารย์ชายผู้ที่ถูกกล่าวหา ขณะนี้พนักงานสอบสวนยังไม่ได้เรียกเข้ามา เนื่องจากต้องสอบปากคำฝั่งผู้เสียหายให้แล้วเสร็จก่อน โดยภายในสัปดาห์หน้าจะเชิญตัวแม่เด็ก และเด็กทั้งสองคนมาสอบปากคำเพิ่มเติม โดยเรื่องนี้ทางผู้ว่าราชการจังหวัดได้ประสานกำชับให้ดำเนินการให้ความยุติธรรมทั้งสองฝ่าย ยืนยันว่าตำรวจไม่ได้ดำเนินการล่าช้า แต่ทุกอย่างต้องทำตามขั้นตอนของกฎหมาย.

 

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook